ไวแม็กซ์ (WiMAX)
บนเทคโนโลยีแบบไร้สายมาตรฐานใหม่ IEEE 802.16 มีความสามารถในการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพสูง โดยใช้หลักการของเทคโนโลยี OFDM (Orthogonal Frequency Division Multiplexing) ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ของวิทยุขนาดเล็ก (Sub-Carrier) มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด โดยการนำคลื่นความถี่วิทยุขนาดเล็กในระดับ KHz มาจัดสรรให้แก่ผู้ใช้ตามข้อกำหนดของคลื่นความถี่วิทยุจนเกิดเป็นเครือข่ายแบบไร้สายที่มีขนาดใหญ่ และรองรับการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงในทุกสถานที่ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าความเร็วสำหรับ ไวแม็กซ์ (WiMAX) นั้นมีอัตราความเร็วในการส่งสัญญาณข้อมูลมากถึง 75 เมกกะบิตต่อวินาที (Mbps) โดยใช้กลไกการเปลี่ยนคลื่นสัญญาณที่ให้ประสิทธิภาพสูง สามารถส่งสัญญาณออกไปได้ระยพไกลมากถึง 31 ไมล์ หรือประมาณ 48 กิโลเมตร นอกจากนี้สถานีฐาน (Base Station) ยังสามารถพิจารณาความเหมาะสมในการรับส่งระหว่างความเร็วและระยะทางได้อีกด้วย
ในส่วนของพื้นที่บริการ ก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้อย่างกว้างขวางโดยใช้เทคนิคของการแปลงสัญญาณที่มีความคล่องตัวสูงสำหรับการใช้งานบนมาตรฐาน IEEE 802.16a บนระบบเครือข่ายที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบผสมผสาน (Mesh Topology) และเทคนิคการใช้งานกับเสาอากาศ แบบอัจฉริยะ (Smart Antenna) ที่ช่วยประหยัดต้นทุน และมีความน่าเชื่อถือสูงด้วยมีระบบจัดการลำดับความสำคัญของงานบริการ (Qos – Quality of Service) ที่รองรับ การทำงานของบริการสัญาณภาพและเสียง ซึ่งระบบเสียงบนเทคโนโลยี WiMAX นั้นจะอยู่ในรูปของบริการ Time Division Muliplexed (TDM) หรือบริการในรูปแบบ Voice over IP (VoIP) ก็ได้ โดยโอเปอร์เรเตอร์สามารถกำหนดระดับความสำคัญของการใช้งานให้เหมาะสมกับรูปแบบของลัษณะงาน
ส่วนเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยนั้น WiMAX มีคุณสมบัติของระบบรักษาความปลอดภัยสูงด้วยระบบรักษารหัสลับของข้อมูลและการเข้ารหัสในการเข้าถึงข้อมูลอย่างเป็นระบบ พร้อมระบบตรวจสอบสิทธิในการใช้งานอินเทลมองว่าการนำไวแม็กซ์ (WiMAX) มาใช้จะเกิดขึ้นเป็นสามระยะ ระยะแรก คือ เทคโนโลยีไวแม็กซ์ (WiMAX) ซึ่งอยู่บนมาตรฐาน IEEE 802.16 -2004 ที่จะให้การเชื่อมต่อไร้สายแบบเฉพาะที่ผ่านเสาสัญญาณกลางแจ้งซึ่งจะเกิดขึ้นในครึ่งแรกของปี 2548 ความสามรถไร้สายเฉพาะที่กลางแจ้งสามารถใช้ได้กับองค์กรที่มีข้อมูลจำนวนมาก (บริการระดับ T1/E1) ฮอตสปอตและช่องสื่อสารภาคพื้นดินเครือข่ายเซลลูลาร์และบริการสำหรับที่อยู่อาศัยในตลาดระดับบน
....... อินเทล คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้นำของเทคโนโลยี ไวแม็กซ์ (WiMAX) ได้เผยโฉมดีไซน์ของไวแม็กซ์ (WiMAX) แบบ “system-on-a-chop” ที่มีชื่อรหัสว่า Rosedale ให้ได้ชมกันเป็นครั้งแรกเมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งเหมาะสำหรับอุปกรณ์ซึ่งสนับสนุนมาตรฐาน IEEE 802.16 -2004 อุปกรณ์นี้จะมีการติดตั้งที่บ้านหรือธุรกิจเพื่อส่งหรือรับสัญญาณบรอดแบนด์ไร้สายทำให้อินเตอร์เน็ตสามรถเชื่อมต่อได้
....... ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2548 จะสามารถติดตั้งไวแม็กซ์ (WiMAX) ภานในอาคารได้โดยมีเสาอากาศเล็กๆคล้ายกับจุดเชื่อมต่อแลนไร้สายที่ใช้มาตรฐาน 802.11 ในปัจจุบันแบบจำลองไวแม็กซ์ (WiMAX) ที่ใช้ในอาคารแสดงให้เห็นว่าไวแม็กซ์ (WiMAX) สามารถใช้ได้กับบรอดแบนด์ในที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่ครอบคลุมพื้นที่ในระยะไกล เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้ “ผู้ใช้สามารถติดตั้งได้เอง” ลดต้นทุนการติดตั้งสำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคม
....... ในปี 2549 เทคโนโลยีที่ใช้มาตรฐาน IEEE 802.16e จะมีการติดตั้งเข้าไปในคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพไร้สายเพื่อสนับสนุนความเคลื่อนไหวระหว่างบริเวณที่ให้บริการไวแม็กซ์ (WiMAX) สามารถใช้ได้กับแอพพลิเคชั่นและบริการแบบพกพาและแบบที่มีประสิทธิภาพไร้สาย ในอนาคตอาจมีการใส่ประสิทธิภาพของไวแม็กซ์ (WiMAX) ลงไปในโทรศัพท์มือถือ
....... การเชื่อมต่อ DSL ความเร็วสูงและการเข้าถึงด้วยบรอดแบนด์แบบมีสายสามารถใช้ได้กับผู้ใช้คอมพิวเตอร์เพียงส่วนน้อยทั่วโลก ไวแม็กซ์ (WiMAX) จะทำให้สามารถสร้างการเชื่อมต่อไร้สายความเร็วสูงที่คุ้มราคาในบ้านและธุรกิจทั้งในเขตเมืองและชนบทได้ อินเทลมุ่งมั่นที่จะพัฒนาไวแม็กซ์ (WiMAX) เพื่อให้ผู้ใช้รุ่นต่อไปสามารถเข้าอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงได้แบบไร้สายโดยสะดวกและคุ้มราคากว่าเดิม
คำถาม
1.ไวแม็กซ์ (WiMAX) มีอัตราความเร็วในการส่งสัญญาณข้อมูลมากถึง
ตอบ.75 เมกกะบิตต่อวินาที (Mbps)
2.ไวแม็กซ์ (WiMAX) แบบ “system-on-a-chop” ที่มีชื่อรหัสว่าอะไร
ตอบ.Rosedale
3.สามารถส่งสัญญาณออกไปได้ระยพไกลมากถึงกี่ไมล์
ตอบ.31ไมล์
ที่มา : http://www.ongitonline.com/index.php?mo=3&art=516639
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
รักการอ่าน...เมาส์
เมาส์ เป็นอุปกรณ์ภายนอกที่ใช้ต่อพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยในการรับข้อมูลทำให้การใช้งานง่าย และสะดวกขึ้น เช่น การเลือกรายการคำสั่ง การแก้ไข การเลือกข้อความ ตลอดจนการเคลื่อนย้ายและเปลี่ยนขนาด ของหน้าต่าง
สำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้เมาส์ อาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อใช้เป็นแล้วจะได้รับประโยชน์และความสะดวกในการทำงานมากกว่าการใช้แป้นพิมพ์ เมาส์ที่ใช้ในปัจจุบัน มีทั้งแบบ 2 ปุ่ม และ 3 ปุ่ม โดยปกติสัญลักษณ์ที่ใช้แทนตัวเมาส์บนจอภาพจะเป็น รูปลูกศรเรียกว่า ตัวชี้ (pointer) .ใช้เลื่อนไปยังตำแหน่งต่าง ๆ บนจอ โดยทั่วไปเมาส์ขนิด 2 ปุ่ม จะใช้ปุ่มทางซ้ายของเมาส์สั่งงานแต่ในบางโปรแกรม เช่น ไมโครซอฟต์เอ็กเซล จะมีการใช้ปุ่มทางด้านขวาด้วย
การจับเมาส์ที่ถูกวิธี คือการวางมือคว่ำบนตัวเมาส์ โดยให้นิ้วกลางอยู่ที่ปุ่มด้านขวา นิ้วชี้อยู่ที่ปุ่มด้านซ้าย ใช้นิ้วที่เหลือจับตัวเมาส์ให้ถนัดแล้วจึงเลื่อนเมาส์ไปมาตามทิศทางที่ต้องการ ซึ่งจะเป็นการเลื่อนตัวชี้จอภาพไปในทิศทางที่เลื่อน
การใช้งานเมาส์มี 4 ลักษณะ
1. การชี้ตำแหน่ง(point) เป็นการเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ซึ่งเป็นรูปลูกศรที่ปรากฎอยู่บนจอภาพไปยังพื้นที่ที่ต้องการทำงาน เมื่อเลื่อนเมาส์ไปบนพื้นเรียบ ตัวชี้จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่สอดคล้องกันบนจอภาพ
2. การคลิก (click) หมายถึง การกดปุ่มซ้ายของเมาส์แล้วปล่อยอย่างรวดเร็ว เป็นการเลือกหรือยืนยันการใช้คำสั่งต่าง ๆ ที่ตัวชี้ชี้อยู่ ปัจจุบันมีการใช้ คลิกขวา(right click) ซึ่งจะใช้ในการเรียกใช้คำสั่งลัด โดยการคลิกขวาที่วัตถุใด ๆ ก็ได้ เช่น คลิกขวาที่ My Computer ก็จะมีคำสั่งลัดในการจัดการเกี่ยวกับ My Computer เป็นต้น
3. การดับเบิลคลิก (double click) หมายถึงการกดปุ่มซ้ายของเมาส์ 2 ครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว เป็นการยืนยันการเลือกเข้าสู่โปรแกรมที่นตัวชี้ชี้อยู่
4. การลาก (drag) หมายถึง การกดปุ่มด้านซ้ายมือของเมาส์ค้างไว้แล้วเลื่อนตัวชี้ไปในตำแหน่งที่ต้องการแล้วจึง ปล่อยปุ่มที่กดไว้ นอกจากนี้การลากยังเป็นการกำหนดขอบเขตหรือพื้นที่ที่ต้องการ
สัญลักษณ์และความหมายของตัวชี้เมาส์
คำถาม
1.การใช้งานเมาส์มีกี่ลักษณะ
ตอบ.4ลักษณะ
2.การลากหมายถึง
ตอบ.การกดปุ่มด้านซ้ายมือของเมาส์ค้างไว้แล้วเลื่อนตัวชี้ไปในตำแหน่งที่ต้องการแล้วจึง ปล่อยปุ่มที่กดไว้ นอกจากนี้การลากยังเป็นการกำหนดขอบเขตหรือพื้นที่ที่ต้องการ
3.การดับเบิลคลิกหมายถึงอะไร
ตอบ.การกดปุ่มซ้ายของเมาส์ 2 ครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว เป็นการยืนยันการเลือกเข้าสู่โปรแกรมที่นตัวชี้ชี้อยู่
ที่มา : http://www.ongitonline.com/index.php?mo=3&art=519728
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
สำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้เมาส์ อาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อใช้เป็นแล้วจะได้รับประโยชน์และความสะดวกในการทำงานมากกว่าการใช้แป้นพิมพ์ เมาส์ที่ใช้ในปัจจุบัน มีทั้งแบบ 2 ปุ่ม และ 3 ปุ่ม โดยปกติสัญลักษณ์ที่ใช้แทนตัวเมาส์บนจอภาพจะเป็น รูปลูกศรเรียกว่า ตัวชี้ (pointer) .ใช้เลื่อนไปยังตำแหน่งต่าง ๆ บนจอ โดยทั่วไปเมาส์ขนิด 2 ปุ่ม จะใช้ปุ่มทางซ้ายของเมาส์สั่งงานแต่ในบางโปรแกรม เช่น ไมโครซอฟต์เอ็กเซล จะมีการใช้ปุ่มทางด้านขวาด้วย
การจับเมาส์ที่ถูกวิธี คือการวางมือคว่ำบนตัวเมาส์ โดยให้นิ้วกลางอยู่ที่ปุ่มด้านขวา นิ้วชี้อยู่ที่ปุ่มด้านซ้าย ใช้นิ้วที่เหลือจับตัวเมาส์ให้ถนัดแล้วจึงเลื่อนเมาส์ไปมาตามทิศทางที่ต้องการ ซึ่งจะเป็นการเลื่อนตัวชี้จอภาพไปในทิศทางที่เลื่อน
การใช้งานเมาส์มี 4 ลักษณะ
1. การชี้ตำแหน่ง(point) เป็นการเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ซึ่งเป็นรูปลูกศรที่ปรากฎอยู่บนจอภาพไปยังพื้นที่ที่ต้องการทำงาน เมื่อเลื่อนเมาส์ไปบนพื้นเรียบ ตัวชี้จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่สอดคล้องกันบนจอภาพ
2. การคลิก (click) หมายถึง การกดปุ่มซ้ายของเมาส์แล้วปล่อยอย่างรวดเร็ว เป็นการเลือกหรือยืนยันการใช้คำสั่งต่าง ๆ ที่ตัวชี้ชี้อยู่ ปัจจุบันมีการใช้ คลิกขวา(right click) ซึ่งจะใช้ในการเรียกใช้คำสั่งลัด โดยการคลิกขวาที่วัตถุใด ๆ ก็ได้ เช่น คลิกขวาที่ My Computer ก็จะมีคำสั่งลัดในการจัดการเกี่ยวกับ My Computer เป็นต้น
3. การดับเบิลคลิก (double click) หมายถึงการกดปุ่มซ้ายของเมาส์ 2 ครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว เป็นการยืนยันการเลือกเข้าสู่โปรแกรมที่นตัวชี้ชี้อยู่
4. การลาก (drag) หมายถึง การกดปุ่มด้านซ้ายมือของเมาส์ค้างไว้แล้วเลื่อนตัวชี้ไปในตำแหน่งที่ต้องการแล้วจึง ปล่อยปุ่มที่กดไว้ นอกจากนี้การลากยังเป็นการกำหนดขอบเขตหรือพื้นที่ที่ต้องการ
สัญลักษณ์และความหมายของตัวชี้เมาส์
คำถาม
1.การใช้งานเมาส์มีกี่ลักษณะ
ตอบ.4ลักษณะ
2.การลากหมายถึง
ตอบ.การกดปุ่มด้านซ้ายมือของเมาส์ค้างไว้แล้วเลื่อนตัวชี้ไปในตำแหน่งที่ต้องการแล้วจึง ปล่อยปุ่มที่กดไว้ นอกจากนี้การลากยังเป็นการกำหนดขอบเขตหรือพื้นที่ที่ต้องการ
3.การดับเบิลคลิกหมายถึงอะไร
ตอบ.การกดปุ่มซ้ายของเมาส์ 2 ครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว เป็นการยืนยันการเลือกเข้าสู่โปรแกรมที่นตัวชี้ชี้อยู่
ที่มา : http://www.ongitonline.com/index.php?mo=3&art=519728
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
รักการอ่าน...ปุ่มลัด(Shortcut) บน Keyboard
BACKSPACE (ดูโฟลเดอร์ย้อนขึ้นหนึ่งระดับใน My Computer หรือ Windows Explorer)
ESC (ยกเลิกงานปัจจุบัน)
CTRL+C (คัดลอก)
CTRL+X (ตัด)
CTRL+V (วาง)
CTRL+Z (ยกเลิก)
DELETE (ลบ)
SHIFT+DELETE (ลบรายการที่เลือกอย่างถาวรโดยไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin)
กดปุ่ม CTRL ขณะที่ลากรายการ (คัดลอกรายการที่เลือก)
กดปุ่ม CTRL+SHIFT ขณะที่ลากรายการ (สร้างทางลัดไปยังรายการที่เลือก)
ปุ่ม F2 (เปลี่ยนชื่อรายการที่เลือก)
CTRL+ ลูกศรขวา (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำถัดไป)
CTRL+ ลูกศรซ้าย (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำก่อนหน้า)
CTRL+ ลูกศรลง (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าถัดไป)
CTRL+ ลูกศรขึ้น (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าก่อนหน้าไป)
CTRL+SHIFT พร้อมกับปุ่มลูกศรใดๆ (ไฮไลต์บล็อกข้อความ)
CTRL+A (เลือกทั้งหมด)
ปุ่ม F3 (ค้นหาไฟล์หรือโฟลเดอร์)
ALT+ENTER (ดูคุณสมบัติต่างๆ ของรายการที่เลือก)
ALT+F4 (ปิดรายการที่ใช้งานอยู่ หรือปิดโปรแกรมที่ใช้งาน)
ALT+ENTER (แสดงคุณสมบัติของออบเจกต์ที่เลือก)
ALT+SPACEBAR (เปิดเมนูทางลัดสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่)
CTRL+F4 (ปิดเอกสารที่ใช้งานอยู่)
ALT+TAB (สลับระหว่างรายการต่างๆ ที่เปิดอยู่)
ALT+ESC (สลับไปยังรายการต่างๆ ตามลำดับที่เปิด)
ปุ่ม F6 (สลับไปตามรายการอิลิเมนต์บนหน้าจอในหน้าต่างหรือบนเดสก์ทอป)
ปุ่ม F4 (แสดงรายการแอดเดรสบาร์ใน My Computer หรือ Windows Explorer)
SHIFT+F10 (แสดงเมนูทางลัดสำหรับรายการที่เลือก)
ALT+SPACEBAR (เปิดเมนูระบบสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่)
CTRL+ESC (แสดงเมนู Start)
ALT+อักษรขีดเส้นใต้ในชื่อเมนู (แสดงเมนูนั้นๆ)
อักษรที่ขีดเส้นใต้ในชื่อคำสั่งบนเมนูที่เปิด (ทำงานตามคำสั่งนั้นๆ)
ปุ่ม F10 (เปิดแถบเมนูในโปรแกรมที่กำลังใช้งาน)
ลูกศรขวา (เปิดเมนูถัดไปทางขวา หรือเปิดเมนูย่อย)
ลูกศรซ้าย (เปิดเมนูถัดไปทางซ้าย หรือปิดเมนูย่อย)
ปุ่ม F5 (อัปเดทหน้าต่าง)
กดปุ่ม SHIFT ขณะที่ใส่แผ่นซีดีรอมลงในไดรฟ์ซีดีรอม (ยกเลิกการเล่นซีดีรอมอัตโนมัติ)
CTRL+SHIFT+ESC (เปิด Task Manager)
คำถาม
1.ปุ่ม F5 เอาไว้ทำอะไร
ตอบ.อัปเดทหน้าต่าง
2.CTRL+ESC ทำอะไรได้
ตอบ.แสดงเมนู Start
3.ปุ่ม F4มีเอาไว้ทำอะไร
ตอบ.แสดงรายการแอดเดรสบาร์ใน My Computer หรือ Windows Explorer
ที่มา : http://www.ongitonline.com/index.php?mo=3&art=516690
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
ESC (ยกเลิกงานปัจจุบัน)
CTRL+C (คัดลอก)
CTRL+X (ตัด)
CTRL+V (วาง)
CTRL+Z (ยกเลิก)
DELETE (ลบ)
SHIFT+DELETE (ลบรายการที่เลือกอย่างถาวรโดยไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin)
กดปุ่ม CTRL ขณะที่ลากรายการ (คัดลอกรายการที่เลือก)
กดปุ่ม CTRL+SHIFT ขณะที่ลากรายการ (สร้างทางลัดไปยังรายการที่เลือก)
ปุ่ม F2 (เปลี่ยนชื่อรายการที่เลือก)
CTRL+ ลูกศรขวา (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำถัดไป)
CTRL+ ลูกศรซ้าย (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำก่อนหน้า)
CTRL+ ลูกศรลง (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าถัดไป)
CTRL+ ลูกศรขึ้น (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าก่อนหน้าไป)
CTRL+SHIFT พร้อมกับปุ่มลูกศรใดๆ (ไฮไลต์บล็อกข้อความ)
CTRL+A (เลือกทั้งหมด)
ปุ่ม F3 (ค้นหาไฟล์หรือโฟลเดอร์)
ALT+ENTER (ดูคุณสมบัติต่างๆ ของรายการที่เลือก)
ALT+F4 (ปิดรายการที่ใช้งานอยู่ หรือปิดโปรแกรมที่ใช้งาน)
ALT+ENTER (แสดงคุณสมบัติของออบเจกต์ที่เลือก)
ALT+SPACEBAR (เปิดเมนูทางลัดสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่)
CTRL+F4 (ปิดเอกสารที่ใช้งานอยู่)
ALT+TAB (สลับระหว่างรายการต่างๆ ที่เปิดอยู่)
ALT+ESC (สลับไปยังรายการต่างๆ ตามลำดับที่เปิด)
ปุ่ม F6 (สลับไปตามรายการอิลิเมนต์บนหน้าจอในหน้าต่างหรือบนเดสก์ทอป)
ปุ่ม F4 (แสดงรายการแอดเดรสบาร์ใน My Computer หรือ Windows Explorer)
SHIFT+F10 (แสดงเมนูทางลัดสำหรับรายการที่เลือก)
ALT+SPACEBAR (เปิดเมนูระบบสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่)
CTRL+ESC (แสดงเมนู Start)
ALT+อักษรขีดเส้นใต้ในชื่อเมนู (แสดงเมนูนั้นๆ)
อักษรที่ขีดเส้นใต้ในชื่อคำสั่งบนเมนูที่เปิด (ทำงานตามคำสั่งนั้นๆ)
ปุ่ม F10 (เปิดแถบเมนูในโปรแกรมที่กำลังใช้งาน)
ลูกศรขวา (เปิดเมนูถัดไปทางขวา หรือเปิดเมนูย่อย)
ลูกศรซ้าย (เปิดเมนูถัดไปทางซ้าย หรือปิดเมนูย่อย)
ปุ่ม F5 (อัปเดทหน้าต่าง)
กดปุ่ม SHIFT ขณะที่ใส่แผ่นซีดีรอมลงในไดรฟ์ซีดีรอม (ยกเลิกการเล่นซีดีรอมอัตโนมัติ)
CTRL+SHIFT+ESC (เปิด Task Manager)
คำถาม
1.ปุ่ม F5 เอาไว้ทำอะไร
ตอบ.อัปเดทหน้าต่าง
2.CTRL+ESC ทำอะไรได้
ตอบ.แสดงเมนู Start
3.ปุ่ม F4มีเอาไว้ทำอะไร
ตอบ.แสดงรายการแอดเดรสบาร์ใน My Computer หรือ Windows Explorer
ที่มา : http://www.ongitonline.com/index.php?mo=3&art=516690
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
รักการอ่าน...บราวเซอร์คืออะไร
บราวเซอร์คืออะไร
เบราว์เซอร์ คือโปรแกรมเรียกดูข้อมูลครับ ส่วนมากจะนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่ผู้ใช้สามารถเลือกดูสิ่งต่างๆ ได้ตามต้องการ
เว็บเบราว์เซอร์ หมายถึงโปรแกรมสำหรับเรียกดูข้อมูลทางเว็บ เช่น Internet Explorer, Google Chrome, Firefox
นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมอีกหลายอย่างที่เรียกว่าเบราว์เซอร์เหมือนกัน อย่างโปรแกรมสำหรับดูภาพถ่าย เช่น Picasa ก็เรียกว่าเป็น
Photo Browser จำเป็นในด้านในบ้าง?... อย่างที่บอกนะครับ เบราว์เซอร์จะนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เอามาเรียงๆ กันให้ดู
แล้วผู้ใช้สามารถเลือกว่าต้องการดูรายละเอียดของส่วนไหน โปรแกรมเบราว์เซอร์จึงมีประโยชน์เมื่อต้องนำเสนอข้อมูลมากๆ โดย
จัดเป็นโครงสร้างที่หลากหลายแบบ เช่น แบบ Hypertext (ลิงก์), แบบ Cloud คือเอาตัวหนังสือมากองรวมกัน ข้อความไหนมีคนใช้
(เข้าไปดู) บ่อยก็จะตัวโตขึ้นเรื่อยๆ หรือสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ, หรือแบบ Tree คือทำเป็นต้นไม้และแตกกิ่งก้านสาขาเป็นรายละเอียดปลีกย่อย เป็นต้น
คำถาม
1.บราวเซอร์คืออะไร
ตอบ.เบราว์เซอร์ คือโปรแกรมเรียกดูข้อมูลครับ ส่วนมากจะนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่ผู้ใช้สามารถเลือกดูสิ่งต่างๆ ได้ตามต้องการ
2.เว็บเบราว์เซอร์ หมายถึงอะไร
ตอบ.โปรแกรมสำหรับเรียกดูข้อมูลทางเว็บ เช่น Internet Explorer, Google Chrome, Firefox
3.หน้าต่างที่เอาไว้เข้าอินเตอร์เน็ตถือว่าเป็นเว็บเบราว์เซอร์หรือไม่
ตอบ.เป็น
ที่มา : http://www.ongitonline.com/index.php?mo=3&art=518654
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
เบราว์เซอร์ คือโปรแกรมเรียกดูข้อมูลครับ ส่วนมากจะนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่ผู้ใช้สามารถเลือกดูสิ่งต่างๆ ได้ตามต้องการ
เว็บเบราว์เซอร์ หมายถึงโปรแกรมสำหรับเรียกดูข้อมูลทางเว็บ เช่น Internet Explorer, Google Chrome, Firefox
นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมอีกหลายอย่างที่เรียกว่าเบราว์เซอร์เหมือนกัน อย่างโปรแกรมสำหรับดูภาพถ่าย เช่น Picasa ก็เรียกว่าเป็น
Photo Browser จำเป็นในด้านในบ้าง?... อย่างที่บอกนะครับ เบราว์เซอร์จะนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เอามาเรียงๆ กันให้ดู
แล้วผู้ใช้สามารถเลือกว่าต้องการดูรายละเอียดของส่วนไหน โปรแกรมเบราว์เซอร์จึงมีประโยชน์เมื่อต้องนำเสนอข้อมูลมากๆ โดย
จัดเป็นโครงสร้างที่หลากหลายแบบ เช่น แบบ Hypertext (ลิงก์), แบบ Cloud คือเอาตัวหนังสือมากองรวมกัน ข้อความไหนมีคนใช้
(เข้าไปดู) บ่อยก็จะตัวโตขึ้นเรื่อยๆ หรือสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ, หรือแบบ Tree คือทำเป็นต้นไม้และแตกกิ่งก้านสาขาเป็นรายละเอียดปลีกย่อย เป็นต้น
คำถาม
1.บราวเซอร์คืออะไร
ตอบ.เบราว์เซอร์ คือโปรแกรมเรียกดูข้อมูลครับ ส่วนมากจะนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่ผู้ใช้สามารถเลือกดูสิ่งต่างๆ ได้ตามต้องการ
2.เว็บเบราว์เซอร์ หมายถึงอะไร
ตอบ.โปรแกรมสำหรับเรียกดูข้อมูลทางเว็บ เช่น Internet Explorer, Google Chrome, Firefox
3.หน้าต่างที่เอาไว้เข้าอินเตอร์เน็ตถือว่าเป็นเว็บเบราว์เซอร์หรือไม่
ตอบ.เป็น
ที่มา : http://www.ongitonline.com/index.php?mo=3&art=518654
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
รักการอ่าน...แฟลชไดรฟ์ 256 GB ตัวแรกของโลก
แฟลชไดรฟ์ 256 GB ตัวแรกของโลก
Kingston ประกาศเปิดตัวแฟลชไดรฟ์รุ่นใหม่ Data Traveler 300 ที่มีความจุสูงถึง 256GB ภายใต้ตัวถังที่มีขนาดเล็กพกพาสะดวก ซึ่งต้องยกนิ้วให้กับความพยายามของคิงสตันที่สามารถเอาชนะคู่แข่งในตลาดได้ด้วยการออกแฟลชไดรฟ์ที่มีความจุมากกว่าถึงสองเท่า!!!
หากถามว่า ความจุขนาด 250GB ของ Data Traveler 300 ทำอะไรได้บ้าง? เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือ มันสามารถเก็บภาพยนตร์ ที่บันทึกด้วย Blu-ray (แผ่นละ 25GB) ได้ 10 เรื่องสบายๆ หรือจะเป็น DVD ก็ได้ 54 แผ่น (แผ่นละ 4.7GB) และ CD ได้ 365 แผ่น (แผ่นละ 700MB) แถมยังมีความเร็วในการอ่านข้อมูลสูงถึง 20MB/s และเขียนข้อมูลได้เร็ว 10MB/s ซึ่ง Gadget ชิ้นนี้จะทำให้คุณเหมือนพกฮาร์ดดิสก์ไว้ในกระเป๋าเสื้อได้อย่างสบายๆ
คำถาม
1.แฟลชไดรฟ์มีจำนวนกี่GB
ตอบ.256GB
2.แฟลชไดรฟ์เป็นของบริษัทอะไร
ตอบ.Kingston
3.แฟลชไดรฟ์อันนี้เท่ากับแผ่นDVDกี่แผ่น
ตอบ.54 แผ่น
ที่มา : http://www.baanmaha.com/community/thread25130.html
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
Kingston ประกาศเปิดตัวแฟลชไดรฟ์รุ่นใหม่ Data Traveler 300 ที่มีความจุสูงถึง 256GB ภายใต้ตัวถังที่มีขนาดเล็กพกพาสะดวก ซึ่งต้องยกนิ้วให้กับความพยายามของคิงสตันที่สามารถเอาชนะคู่แข่งในตลาดได้ด้วยการออกแฟลชไดรฟ์ที่มีความจุมากกว่าถึงสองเท่า!!!
หากถามว่า ความจุขนาด 250GB ของ Data Traveler 300 ทำอะไรได้บ้าง? เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือ มันสามารถเก็บภาพยนตร์ ที่บันทึกด้วย Blu-ray (แผ่นละ 25GB) ได้ 10 เรื่องสบายๆ หรือจะเป็น DVD ก็ได้ 54 แผ่น (แผ่นละ 4.7GB) และ CD ได้ 365 แผ่น (แผ่นละ 700MB) แถมยังมีความเร็วในการอ่านข้อมูลสูงถึง 20MB/s และเขียนข้อมูลได้เร็ว 10MB/s ซึ่ง Gadget ชิ้นนี้จะทำให้คุณเหมือนพกฮาร์ดดิสก์ไว้ในกระเป๋าเสื้อได้อย่างสบายๆ
คำถาม
1.แฟลชไดรฟ์มีจำนวนกี่GB
ตอบ.256GB
2.แฟลชไดรฟ์เป็นของบริษัทอะไร
ตอบ.Kingston
3.แฟลชไดรฟ์อันนี้เท่ากับแผ่นDVDกี่แผ่น
ตอบ.54 แผ่น
ที่มา : http://www.baanmaha.com/community/thread25130.html
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
รักการอ่าน...ไวรัสและสปายแวร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร
โปรแกรมที่สร้างปัญหาและก่อนกวนการใช้งานคอมพิวเตอร์ อาจทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง หรือไม่สามารถทำงานได้เลย ปัจจุบันไวรัสคอมพิวเตอร์ได้มีการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หนอนอินเตอร์เน็ต (Worm) โทรจัน (Trojan) ข่าวไวรัสหลอกลวง (Hoax) เป็นต้น
สปายแวร์คืออะไร
โปรแกรมที่แอบติดตั้งเข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เพื่อแสดงความโฆษณา ขณะที่เราทำงานอยู่ หรือเก็บข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการใช้งาน โดยส่วนใหญ่จะสร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้คอมฯ
อาการของคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสสปายแวร์
มีหน้าต่างโปรแกรมเปิดอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร
คอมพิวเตอร์ทำงานช้าผิดปกติ
การทำงานโปรแกรมต่างๆ ผิดเพี้ยนไปจากปกติ
มีความผิดพลาดของ Windows บ่อยๆ มาก
เครื่อง Restart Windows ตลอดเวลา
คำถาม
1.ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร
ตอบ.โปรแกรมที่สร้างปัญหาและก่อนกวนการใช้งานคอมพิวเตอร์
2.สปายแวร์คืออะไร
ตอบ.โปรแกรมที่แอบติดตั้งเข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา
3.อาการของคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสสปายแวร์มีอะไรบ้างจงยกตัว(อย่างมา1ตัวอย่าง)
ตอบ.คอมพิวเตอร์ทำงานช้าผิดปกติ
ที่มา : http://www.it-guides.com/index.php/antivirus-a-security
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
โปรแกรมที่สร้างปัญหาและก่อนกวนการใช้งานคอมพิวเตอร์ อาจทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง หรือไม่สามารถทำงานได้เลย ปัจจุบันไวรัสคอมพิวเตอร์ได้มีการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หนอนอินเตอร์เน็ต (Worm) โทรจัน (Trojan) ข่าวไวรัสหลอกลวง (Hoax) เป็นต้น
สปายแวร์คืออะไร
โปรแกรมที่แอบติดตั้งเข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เพื่อแสดงความโฆษณา ขณะที่เราทำงานอยู่ หรือเก็บข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการใช้งาน โดยส่วนใหญ่จะสร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้คอมฯ
อาการของคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสสปายแวร์
มีหน้าต่างโปรแกรมเปิดอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร
คอมพิวเตอร์ทำงานช้าผิดปกติ
การทำงานโปรแกรมต่างๆ ผิดเพี้ยนไปจากปกติ
มีความผิดพลาดของ Windows บ่อยๆ มาก
เครื่อง Restart Windows ตลอดเวลา
คำถาม
1.ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร
ตอบ.โปรแกรมที่สร้างปัญหาและก่อนกวนการใช้งานคอมพิวเตอร์
2.สปายแวร์คืออะไร
ตอบ.โปรแกรมที่แอบติดตั้งเข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา
3.อาการของคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสสปายแวร์มีอะไรบ้างจงยกตัว(อย่างมา1ตัวอย่าง)
ตอบ.คอมพิวเตอร์ทำงานช้าผิดปกติ
ที่มา : http://www.it-guides.com/index.php/antivirus-a-security
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
รักการอ่าน...ความหมายของ Error Message
ความหมายของ Error Message ต่างๆ ในโปรแกรม Internet Explorer
400 Bad File Request
ไวยากรณ์ (Syntax) ที่ใช้กับ URL นั้นมีข้อผิดพลาด เช่น มีการใช้ตัวอักษรเล็ก - ใหญ่สลับกัน หรืออาจจะมีการใช้เครื่องหมายต่างๆ ผิด
401 Unauthorized
ไม่อนุญาตให้เข้าเว็บไซต์นั้น เพราะไม่มีตัวเข้ารหัส (Encryption key) หรืออาจจะเกิดจากการใส่พาสเวิร์ดผิดก็เป็นได้ ซึ่งในกรณีที่คุณอาจจะใส่พาสเวิร์ดผิดให้ลองตรวจดูให ้แน่ใจอีกครั้งว่าได้ใส่รหัสที่ถูกต้องไปแล้ว โดยทางเว็บนั้นตัวอักษรเล็ก - ใหญ่จะถือว่าแตกต่างกัน (case sensitivity)
403 Forbidden/Access Denied
คล้ายกับ error 401 คือไม่ได้รับอนุญาตในการเข้าใช้งานเว็บไซต์นั้น
404 File Not Found
เซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถหาไฟล์ที่คุณต้องการได้ ซึ่งไฟล์นั้นอาจจะถูกย้ายไปที่อื่นหรือถูกลบไปแล้ว หรือคุณอาจจะใส่ URL หรือชื่อเอกสารผิด ถ้าคุณเจอปัญหานี้ให้ลองตรวจสอบชื่อที่ใส่ใน URL ว่าถูกต้องหรือไม่
408 Request Timeout
ข้อผิดพลาดนี้เกิดจากการหยุดโหลดเว็บเพจก่อนที่ฝั่งเ ซิร์ฟเวอร์จะส่งข้อมูลสำเร็จ ซึ่งอาจจะเกิดจากผู้ใช้ไปคลิกปุ่ม stop หรือปิดบราวเซอร์ หรือไปคลิกลิงค์ก่อนที่เว็บเพจนั้นจะโหลดขึ้นมา โดยมากมักจะเกิดตอนที่เซิร์ฟเวอร์ช้าหรือไฟล์มีขนาดใ หญ่
500 Internet Error
ไม่สามารถเรียกไฟล์เอกสาร HTML ได้เนื่องจากอาจมีปัญหาการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ วิธีแก้ไขคือ ให้คุณติดต่อผู้ที่ดูแลเว็บไซต์ (Administrator)
501 Not Implemented
เว็บเซิร์ฟเวอร์นั้นไม่รองรับรูปแบบ (Feature) ที่คุณต้องการ
502 Service Temporarily Overloaded
เซิร์ฟเวอร์นั้นมีผู้เข้ามาใช้งานมาก ให้ลองโหลดใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้
503 Service Unavailable
เซิร์ฟเวอร์นั้นมีผู้เข้ามาใช้งานมาก หรือเว็บไซต์นั้นอาจจะย้ายไปแล้ว หรือคุณไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตแล้ว
Connection Refused by Host
อาจจะเกิดจากคุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใช้งานเว็บไซต ์นั้นหรือใส่พาสเวิร์ดไม่ถูกต้อง
คำถาม
1.403 Forbidden/Access Denied คืออะไร
ตอบ.คือไม่ได้รับอนุญาตในการเข้าใช้งานเว็บไซต์นั้น
2.503 Service Unavailable คืออะไร
ตอบ.เซิร์ฟเวอร์นั้นมีผู้เข้ามาใช้งานมาก หรือเว็บไซต์นั้นอาจจะย้ายไปแล้ว
3.501 Not Implemented คืออะไร
ตอบ.เว็บเซิร์ฟเวอร์นั้นไม่รองรับรูปแบบ (Feature) ที่คุณต้องการ
ที่มา : http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=74
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
400 Bad File Request
ไวยากรณ์ (Syntax) ที่ใช้กับ URL นั้นมีข้อผิดพลาด เช่น มีการใช้ตัวอักษรเล็ก - ใหญ่สลับกัน หรืออาจจะมีการใช้เครื่องหมายต่างๆ ผิด
401 Unauthorized
ไม่อนุญาตให้เข้าเว็บไซต์นั้น เพราะไม่มีตัวเข้ารหัส (Encryption key) หรืออาจจะเกิดจากการใส่พาสเวิร์ดผิดก็เป็นได้ ซึ่งในกรณีที่คุณอาจจะใส่พาสเวิร์ดผิดให้ลองตรวจดูให ้แน่ใจอีกครั้งว่าได้ใส่รหัสที่ถูกต้องไปแล้ว โดยทางเว็บนั้นตัวอักษรเล็ก - ใหญ่จะถือว่าแตกต่างกัน (case sensitivity)
403 Forbidden/Access Denied
คล้ายกับ error 401 คือไม่ได้รับอนุญาตในการเข้าใช้งานเว็บไซต์นั้น
404 File Not Found
เซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถหาไฟล์ที่คุณต้องการได้ ซึ่งไฟล์นั้นอาจจะถูกย้ายไปที่อื่นหรือถูกลบไปแล้ว หรือคุณอาจจะใส่ URL หรือชื่อเอกสารผิด ถ้าคุณเจอปัญหานี้ให้ลองตรวจสอบชื่อที่ใส่ใน URL ว่าถูกต้องหรือไม่
408 Request Timeout
ข้อผิดพลาดนี้เกิดจากการหยุดโหลดเว็บเพจก่อนที่ฝั่งเ ซิร์ฟเวอร์จะส่งข้อมูลสำเร็จ ซึ่งอาจจะเกิดจากผู้ใช้ไปคลิกปุ่ม stop หรือปิดบราวเซอร์ หรือไปคลิกลิงค์ก่อนที่เว็บเพจนั้นจะโหลดขึ้นมา โดยมากมักจะเกิดตอนที่เซิร์ฟเวอร์ช้าหรือไฟล์มีขนาดใ หญ่
500 Internet Error
ไม่สามารถเรียกไฟล์เอกสาร HTML ได้เนื่องจากอาจมีปัญหาการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ วิธีแก้ไขคือ ให้คุณติดต่อผู้ที่ดูแลเว็บไซต์ (Administrator)
501 Not Implemented
เว็บเซิร์ฟเวอร์นั้นไม่รองรับรูปแบบ (Feature) ที่คุณต้องการ
502 Service Temporarily Overloaded
เซิร์ฟเวอร์นั้นมีผู้เข้ามาใช้งานมาก ให้ลองโหลดใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้
503 Service Unavailable
เซิร์ฟเวอร์นั้นมีผู้เข้ามาใช้งานมาก หรือเว็บไซต์นั้นอาจจะย้ายไปแล้ว หรือคุณไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตแล้ว
Connection Refused by Host
อาจจะเกิดจากคุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใช้งานเว็บไซต ์นั้นหรือใส่พาสเวิร์ดไม่ถูกต้อง
คำถาม
1.403 Forbidden/Access Denied คืออะไร
ตอบ.คือไม่ได้รับอนุญาตในการเข้าใช้งานเว็บไซต์นั้น
2.503 Service Unavailable คืออะไร
ตอบ.เซิร์ฟเวอร์นั้นมีผู้เข้ามาใช้งานมาก หรือเว็บไซต์นั้นอาจจะย้ายไปแล้ว
3.501 Not Implemented คืออะไร
ตอบ.เว็บเซิร์ฟเวอร์นั้นไม่รองรับรูปแบบ (Feature) ที่คุณต้องการ
ที่มา : http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=74
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
รักการอ่าน...http คืออะไร
http คือ... http คืออะไร ? มาดูกัน ให้งานกันบ่อย เจ้า http แล้ว ตามด้วย :
HTTP ย่อมาจาก Hyper Text Transfer Protocol เป็นโปรโตคอลสื่อสารที่ทำงานอยู่บนระบบโปรโตคอล TCP HTTP ใช้ในระบบเครือข่ายใยแมงมุม (World Wide Web) ทำหน้าที่ในการจำหน่าย,แจกจ่าย
รวมไปถึงการรับข้อมูล จากระบบสื่อกลางชั้นสูง (Hypermedia System) ที่ประกอบด้วยเครื่องให้บริการ (Server) ที่มีอยู่มากมายทั่วโลก เวลาเราเข้าเว็บ ด้วย Browser เช่น IE (Internet Explorer), FF(FireFox) หรือ Google Chrome หรือ Browser ตัวอื่นๆ เวลาเราเรียกดูเว็บ เช่น เว็บนี้ mindphp.com เราก็ต้อง พิมพ์ http://www.mindphp.com จะเห็นว่า ชื่อเว็บที่เราพิมพ์ ต้อง ขึ้นต้นด้วย http ด้วย
อย่างลืมนะครับ http คือ โปรโตคอลตัวหนึ่ง ชื่อเต็มๆ ของมันคือ Hyper Text Transfer Protocol
คำถาม
1.HTTP ย่อมาจากอะไร
ตอบ.Hyper Text Transfer Protocol
2.ระบบเครือข่ายใยแมงมุมคืออะไรและเรียกกันว่า
ตอบ.World Wide Web
3.http คืออะไร
ตอบ.โปรโตคอลตัวหนึ่ง
ที่มา : http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=113
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
HTTP ย่อมาจาก Hyper Text Transfer Protocol เป็นโปรโตคอลสื่อสารที่ทำงานอยู่บนระบบโปรโตคอล TCP HTTP ใช้ในระบบเครือข่ายใยแมงมุม (World Wide Web) ทำหน้าที่ในการจำหน่าย,แจกจ่าย
รวมไปถึงการรับข้อมูล จากระบบสื่อกลางชั้นสูง (Hypermedia System) ที่ประกอบด้วยเครื่องให้บริการ (Server) ที่มีอยู่มากมายทั่วโลก เวลาเราเข้าเว็บ ด้วย Browser เช่น IE (Internet Explorer), FF(FireFox) หรือ Google Chrome หรือ Browser ตัวอื่นๆ เวลาเราเรียกดูเว็บ เช่น เว็บนี้ mindphp.com เราก็ต้อง พิมพ์ http://www.mindphp.com จะเห็นว่า ชื่อเว็บที่เราพิมพ์ ต้อง ขึ้นต้นด้วย http ด้วย
อย่างลืมนะครับ http คือ โปรโตคอลตัวหนึ่ง ชื่อเต็มๆ ของมันคือ Hyper Text Transfer Protocol
คำถาม
1.HTTP ย่อมาจากอะไร
ตอบ.Hyper Text Transfer Protocol
2.ระบบเครือข่ายใยแมงมุมคืออะไรและเรียกกันว่า
ตอบ.World Wide Web
3.http คืออะไร
ตอบ.โปรโตคอลตัวหนึ่ง
ที่มา : http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=113
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
รักการอ่าน...DNSคืออะไร
DNS คือ DNS คืออะไร มาทำความรู้จักกัน DNS Error ได้ DNS ของ true คือ อะไร มาดูกัน
ประวัติความเป็นมาของระบบ DNS
ในช่วงศตวรรษที่ 90 ในขณะที่การใช้งานอีเมลล์เริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย จำนวนเครือข่ายที่เชื่อมต่อมายังเครือข่าย ARPA NET ได้เพิ่มจำนวนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้บริการเครือข่ายแบบรวมศูนย์ของ SRI ( The NIC ) เริ่มประสบปัญหาในการจัดการระบบฐานข้อมูลซึ่งใช้ในการอ้างอิงถึงโฮสท์ที่เชื่อมต่อมาจากเครือข่ายอิสระต่างๆ ที่มีโครงสร้างการทำงานที่แตกต่างกัน โดยในขณะนั้น การเพิ่มรายชื่อโฮสท์แต่ละเครื่องเข้ามาในเครือข่าย ARPA NET จำเป็นต้องส่งข้อมูลโดยการ FTP เข้ามาปรับปรุงข้อมูลในไฟล์ Host Table ที่ SRI เป็นผู้ดูแล ซึ่งจะมีการปรับปรุงข้อมูลเพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้งเท่านั้น ทำให้การจัดการข้อมูลมีความล่าช้าและไม่ยืดหยุ่น นอกจากนี้เครือข่ายต่างๆ ที่เข้ามาเชื่อมต่อต่างก็ต้องการอิสระในการจัดการบริหารระบบของตนเองจึงเกิดแนวความคิดที่กระจายความรับผิดชอบในการจัดระบบนี้ออกไป โดยแบ่งการจัดพื่นที่ของโลกเสมือนนี้ออกเป็นส่วนๆ โดยกำหนดให้โฮสท์แต่ละเครื่องอยู่ภายใต้ขอบเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่ได้แบ่งเอาไว้ โดยแต่ละพื้นที่สามารถแบ่งออกเป็นพ้นที่ที่เล็กลงได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งพื้นที่แต่ละส่วน ก็ถูกอ้างไปยังพื้นที่ที่ใหญ่กว่าเป็นลำดับชั้นขึ้นไป เพื่อให้สามารถระบุตำแหน่งอ้างอิงของโฮสท์แต่ละเครื่องที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของแต่ละพื้นที่ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว โดยพื้นที่เสมือนแต่ละส่วนถูกเรียกว่า “ โดเมน” (Domain) และเรียกการอ้างระบบอ้างอิงเป็นลำดับชั้นด้วยชื่อของแต่ละพื้นที่หรือโดเมนนี้ว่า “ ระบบชื่อโดเมน ” ( Domain Name System) ส่วนพื้นที่ทั้งหมดของโลกเสมือนที่ประกอบด้วยพื้นที่ย่อยๆจำนวนมากนี้
จะเรียกว่า “Domain Name Space”
DNSคืออะไร
nระบบ Domain Name System (DNS) นี้เป็นระบบจัดการแปลงชื่อไปเป็นหมายเลข IP address โดยมีโครงสร้างฐานข้อมูลแบบลำดับชั้นเพื่อใช้เก็บข้อมูลที่เรียกค้นได้อย่างรวดเร็ว
nกลไกหลักของระบบ DNS คือ ทำหน้าที่แปลงข้อมูลชื่อและหมายเลข IP address หรือทำกลับกันได้ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันเพิ่มเติมอื่นๆ อีก เช่น แจ้งชื่อของอีเมล์เซิร์ฟเวอร์ใน domain ที่รับผิดชอบด้วย
ในระบบ DNS จะมีการกำหนด name space ที่มีกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน มีกลไกการเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลแบบกระจาย ทำงานในลักษณะของไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์ (Client/Server)
การทำงานของระบบ DNS
การทำงานของระบบชื่อโดเมนนั้น เริ่มต้นจากเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งทำหน้าที่เป็น DNS Server ซึ่งทำงานด้วยซอฟแวร์พิเศษชื่อว่า BIND ที่ทำหน้าที่ในการรับส่งข้อมูลระหว่าง DNS Server แต่ละเครื่องผ่าน DNS Photocal เมื่อมีคำร้องขอให้สืบค้นหมายเลข ไอพี อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ DNS Server จะมีให้ก็ต่อคำร้องหนึ่งๆนั้นขันกับว่า DNS Server นั้นเป็น DNS Server ประเภทใด ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. Name Server
2. Resolver
การตั้งชื่อให้ DNS ต้องเป็นไปตามกฏนี้
ใช้ได้เฉพาะตัวอักษรละติน (ASCII character set) ใน RFC 1035 ระบุว่าสัญลักษณ์ที่ใช้ได้ในโดเมนเนม คือ
(1) ตัวอักษร a ถึง z (case insensitive - ไม่สนใจพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่)
(2) เลข 0 ถึง 9
(3) เครื่องหมายยติภังค์ (-)
Dynamic DNS คืออะไร
เป็นระบบที่เก็บไอพีแอดเดรสกับโดเมนเนมของคอมพิวเตอร์ที่ได้ลงทะเบียนไว้ คอมพิวเตอร์ของเราสามารถแจ้งไอพีแอดเดรสที่เปลี่ยนแปลงทุกๆ ครั้ง ให้กับ DNS SERVER ของผู้ให้บริการ Dynamic DNS ผ่านทางโปรแกรมสำหรับแจ้งไอพีแอดเดรสอัตโนมัติ ผุ็ใช้บริการเช่น No-ip
คำถาม
1.ระบบDNSเกิดในช่วงศตวรรษที่เท่าไร
ตอบ.ช่วงศตวรรษที่ 90
2.สัญลักษณ์ที่ใช้ได้ในโดเมนเนม คืออะไร
ตอบ. (1) ตัวอักษร a ถึง z (case insensitive - ไม่สนใจพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่)
(2) เลข 0 ถึง 9
(3) เครื่องหมายยติภังค์ (-)
3.DNS Server มีกี่ประเภท
ตอบ.2ประเภท
ที่มา : http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=115
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
ประวัติความเป็นมาของระบบ DNS
ในช่วงศตวรรษที่ 90 ในขณะที่การใช้งานอีเมลล์เริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย จำนวนเครือข่ายที่เชื่อมต่อมายังเครือข่าย ARPA NET ได้เพิ่มจำนวนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้บริการเครือข่ายแบบรวมศูนย์ของ SRI ( The NIC ) เริ่มประสบปัญหาในการจัดการระบบฐานข้อมูลซึ่งใช้ในการอ้างอิงถึงโฮสท์ที่เชื่อมต่อมาจากเครือข่ายอิสระต่างๆ ที่มีโครงสร้างการทำงานที่แตกต่างกัน โดยในขณะนั้น การเพิ่มรายชื่อโฮสท์แต่ละเครื่องเข้ามาในเครือข่าย ARPA NET จำเป็นต้องส่งข้อมูลโดยการ FTP เข้ามาปรับปรุงข้อมูลในไฟล์ Host Table ที่ SRI เป็นผู้ดูแล ซึ่งจะมีการปรับปรุงข้อมูลเพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้งเท่านั้น ทำให้การจัดการข้อมูลมีความล่าช้าและไม่ยืดหยุ่น นอกจากนี้เครือข่ายต่างๆ ที่เข้ามาเชื่อมต่อต่างก็ต้องการอิสระในการจัดการบริหารระบบของตนเองจึงเกิดแนวความคิดที่กระจายความรับผิดชอบในการจัดระบบนี้ออกไป โดยแบ่งการจัดพื่นที่ของโลกเสมือนนี้ออกเป็นส่วนๆ โดยกำหนดให้โฮสท์แต่ละเครื่องอยู่ภายใต้ขอบเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่ได้แบ่งเอาไว้ โดยแต่ละพื้นที่สามารถแบ่งออกเป็นพ้นที่ที่เล็กลงได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งพื้นที่แต่ละส่วน ก็ถูกอ้างไปยังพื้นที่ที่ใหญ่กว่าเป็นลำดับชั้นขึ้นไป เพื่อให้สามารถระบุตำแหน่งอ้างอิงของโฮสท์แต่ละเครื่องที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของแต่ละพื้นที่ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว โดยพื้นที่เสมือนแต่ละส่วนถูกเรียกว่า “ โดเมน” (Domain) และเรียกการอ้างระบบอ้างอิงเป็นลำดับชั้นด้วยชื่อของแต่ละพื้นที่หรือโดเมนนี้ว่า “ ระบบชื่อโดเมน ” ( Domain Name System) ส่วนพื้นที่ทั้งหมดของโลกเสมือนที่ประกอบด้วยพื้นที่ย่อยๆจำนวนมากนี้
จะเรียกว่า “Domain Name Space”
DNSคืออะไร
nระบบ Domain Name System (DNS) นี้เป็นระบบจัดการแปลงชื่อไปเป็นหมายเลข IP address โดยมีโครงสร้างฐานข้อมูลแบบลำดับชั้นเพื่อใช้เก็บข้อมูลที่เรียกค้นได้อย่างรวดเร็ว
nกลไกหลักของระบบ DNS คือ ทำหน้าที่แปลงข้อมูลชื่อและหมายเลข IP address หรือทำกลับกันได้ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันเพิ่มเติมอื่นๆ อีก เช่น แจ้งชื่อของอีเมล์เซิร์ฟเวอร์ใน domain ที่รับผิดชอบด้วย
ในระบบ DNS จะมีการกำหนด name space ที่มีกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน มีกลไกการเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลแบบกระจาย ทำงานในลักษณะของไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์ (Client/Server)
การทำงานของระบบ DNS
การทำงานของระบบชื่อโดเมนนั้น เริ่มต้นจากเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งทำหน้าที่เป็น DNS Server ซึ่งทำงานด้วยซอฟแวร์พิเศษชื่อว่า BIND ที่ทำหน้าที่ในการรับส่งข้อมูลระหว่าง DNS Server แต่ละเครื่องผ่าน DNS Photocal เมื่อมีคำร้องขอให้สืบค้นหมายเลข ไอพี อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ DNS Server จะมีให้ก็ต่อคำร้องหนึ่งๆนั้นขันกับว่า DNS Server นั้นเป็น DNS Server ประเภทใด ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. Name Server
2. Resolver
การตั้งชื่อให้ DNS ต้องเป็นไปตามกฏนี้
ใช้ได้เฉพาะตัวอักษรละติน (ASCII character set) ใน RFC 1035 ระบุว่าสัญลักษณ์ที่ใช้ได้ในโดเมนเนม คือ
(1) ตัวอักษร a ถึง z (case insensitive - ไม่สนใจพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่)
(2) เลข 0 ถึง 9
(3) เครื่องหมายยติภังค์ (-)
Dynamic DNS คืออะไร
เป็นระบบที่เก็บไอพีแอดเดรสกับโดเมนเนมของคอมพิวเตอร์ที่ได้ลงทะเบียนไว้ คอมพิวเตอร์ของเราสามารถแจ้งไอพีแอดเดรสที่เปลี่ยนแปลงทุกๆ ครั้ง ให้กับ DNS SERVER ของผู้ให้บริการ Dynamic DNS ผ่านทางโปรแกรมสำหรับแจ้งไอพีแอดเดรสอัตโนมัติ ผุ็ใช้บริการเช่น No-ip
คำถาม
1.ระบบDNSเกิดในช่วงศตวรรษที่เท่าไร
ตอบ.ช่วงศตวรรษที่ 90
2.สัญลักษณ์ที่ใช้ได้ในโดเมนเนม คืออะไร
ตอบ. (1) ตัวอักษร a ถึง z (case insensitive - ไม่สนใจพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่)
(2) เลข 0 ถึง 9
(3) เครื่องหมายยติภังค์ (-)
3.DNS Server มีกี่ประเภท
ตอบ.2ประเภท
ที่มา : http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=115
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
รักการอ่าน...สายตากับคอมพิวเตอร์
สายตากับคอมพิวเตอร์
ผมทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์โดยตรงต้องทำงานอย่างน้อยติดต่อกัน 4 ชั่วโมง พักเที่ยง แล้วก็ทำติดต่อกันอีก 4 ชั่วโมง อย่างนี้มาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 7 ปี จะมีโอกาสที่เป็นต้อไหม ต้องทำอย่างไรจึงป้องกันสุขภาพสายตาได้โดยเฉลี่ยแล้วหนุ่มสาวจะต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ประมาณ 10ชั่วโมง ต่อวัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอื่นได้ เช่น โรคมะเร็ง ปวดหลัง เท้าบวม เป็นต้น ดั้งนั้นเราควรทำการป้องกันไว้ก่อน เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา
วิธีป้องกัน1. นั่งในท่าที่เหมาะสมห่างจากจอ Computer ประมาณ 20 - 30 นิ้ว
2. Screen Computer ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศา
3. จัด เอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์ จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของตา ไม่ให้ระยะต่างกันมาก
4. พักสายตาบ่อยๆ แนะนำให้พักสายตาอย่างน้อย 15-20 นาทีทุก 2 ชั่วโมง
5. จัดแสง และแสงสะท้อนจากจอให้ลดลงในระดับที่ตาเรารู้สึกสบาย
6. จอภาพ Computer ต้อง Focus ชัดเจน ตัวหนังสือ ภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ และควรปรับแสงของจอมอนิเตอร์ให้พอเหมาะ ใช้แผ่นกรองแสงช่วย หรือเลือกใช้จอแบน เพื่อลดการหักเหของแสง
7. มี งานวิจัยพบว่า ผู้ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์จะกระพริบตาน้อยกว่าปกติ ดังนั้น คุณอาจจะต้องตั้งใจกระพิบตาให้ถี่ขึ้น เพื่อช่วยให้ตาชุ่มชื้นขึ้น หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว
8. ทุก 15 นาที ของการทำงาน อาจเหลือบไปมองสิ่งอื่นๆ บ้าง โดยมองไปไกลๆ การมองที่อื่นๆ ช่วยเรื่องการปรับโฟกัส และช่วยให้ กระพิบตาทำให้ตาชุ่มชื้นขึ้น
9. ผู้ที่มีอายุเกิน 40 และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือกำลังที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น จะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอดเป็นเหตุให้ปวดต้นคอ
10. ตั้งคอมพิวเตอร์ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอ และควรทำความสะอาดเสมอ
11. นำต้นกระบองเพชรเล็ก ๆ มาวางข้างคอมพิวเตอร์จะช่วยดูดซับคลื่นแม่เหล็กได้
12. ควรเปลี่ยนอริยาบถ หรือลุกเดินบ้างเพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น
คำถาม
1.คนเราควรนั่งห่างจากจอคอมกี่นิ้ว
ตอบ.ประมาณ 20 - 30 นิ้ว
2.ควรพักสายตาประมาณกี่นาที
ตอบ.15-20 นาที
3เรามีวิธีป้องกันกี่วิธี
ตอบ.12วิธี
ที่มา : http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=132
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
รักการอ่าน...CPU คืออะไร
CPU คืออะไร CPU Intel, AMD มีความสำคัญอย่างไรในคอม CPU อยู่ส่วนไหนของเครื่อง Computer
ซีพียู (CPU:Central Processing Unit) คือ หน่วยประมวลผลกลาง
CPU นับเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดในเครื่องคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่คำนวณ และประมวลผลคำสั่งข้อมูลต่าง ๆ ที่ผู้ใช้ สั่งผ่านโปรแกรม ต่าง ๆ ที่ เป็นโปรแกรมประยุกต์ ซีพียูนั้นจะต้องรับภาระในการควบคุมการ ทำงานของส่วนต่าง ๆ ของ เครื่องคอมพิวเตอร์ เช่นแป้นพิมพ์ เมาส์ จอภาพ เครื่องพิมพ์แสกนเนอร์ให้สามารถใช้งานได้อย่างถูกต้อง
แบบของซีพียู
ซีพียู ของแต่ละบริษัทและแต่ละรุ่นจะมีรูปร่าง ลักษณะโครงสร้างและจำนวนขาไม่เหมือนกัน จากความแตกต่างกัน นี้เอง ซีพียูแต่ละตัวจึงใช้เมนบอร์ดไม่เหมือนกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้ซีพียู สำหรับเครื่องพีซี แบบตั้งโต๊ะทั่วไป แบ่งได้เป็น 2 แบบใหญ่ๆ
- ซีพียู แบบ Cartridge ซีพียูแบบนี้รูปร่างเป็นตลับแบนๆ ห่อหุ้มด้วยกล่องพลาสติกสี่เหลี่ยมด้านล่างจะเป็นแผงขาสัญญาณของซีพียู สำหรับ เสียบลงในช่องแบบ สล๊อต (Slot) โดยซีพียูแบบ Cartridge ยังแบ่งแยกย่อยออกไปได้อีก 3 แบบ ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท ผู้ผลิตและรุ่นซึ่งใช้เสียบแทนกันไม่ได้ ซีพียูแบบนี้มีชื่อเรียกกันโดยทั่วไปว่าแบบ SECC (Single Edde Connector Cartridge)
- ซีพียู แบบ PGA ซีพียูแบบนี้รูปร่างเป็นชิปแบนๆ มีขาจำนวนมากอยู่ใต้ตัวซีพียู สำหรับเสียบลงในช็อคเก็ตจึงเรียก ว่า PGA และสามารถ แบ่งออกเป็นแบบย่อยๆ ได้อีก 3 แบบ เช่นกัน ซึ่งใช้เสียบแทนกันไม่ได้ มีดังนี้ - Socket 7 ใช้กับซีพียูรุ่นเก่า เช่น Pentium MMX , AMD K5, K6 มีจำนวนขาสัญญาณ 321 ขา - Socket 370 พัฒนาโดย Intel ใช้กับ Pentium III, Celeron (รุ่นใหม่) และ Cyrix III มีขาสัญญาณ 370 ขา - Socket A พัฒนาโดย AMD เพื่อให้กับซีพียูของตนเอง ใน Athlon รุ่นใหม่และ Duron มีขาสัญญาณ 462 ขา
- Intel จากอดีตจนถึงปัจจุบันซีพียูค่ายนี้มักจะมีเทคโนโลยีการผลิตและความเร็วเหนือซีพียูจากค่ายอื่นๆโดยซีพียูตระกูลแรกที่ ใช้หมายเลขแสดงรุ่นมักจะถูกซีพียูจากค่ายอื่นเลียนแบบ โดยใช้คำว่า PR (Pentium Rate) ตามด้วยความเร็วซีพียูเป็น MHzเนื่องจากกฏหมายลิขสิทธิ์ไม่คลอบคลุมถึงตัวเลขดังนั้นในรุ่นต่อมาอินเทล จึงเปลี่ยนไปเรียกชื่อแทนการใช้ เลขมีดัง นี้ Pentium , Pentium MMX , Pentium Pro , Pentium III , Celeron , Pentium II , Pentium 4
- AMD AMD เป็นผู้ผลิตซีพียูเพียงรายเดียวของโลกที่สามารถผลิตซีพียู แข่งกับ อินเทล ได้ใกล้เคียงกันซึ่ง อินเทล มักเป็น ผู้นำทางด้านความเร็วและประสิทธิภาพ ส่วน AMD เน้นในเรื่องราคาที่ถูกกว่าในประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกัน จึงทำให้ผู้ ใช้ เริ่มหันมาซื้อซีพียูของ AMD กันมากขึ้นโดยซีพียูรุ่นแรกๆ ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ AMD คือรุ่น K5, K6 ส่วนรุ่น K7 หรือ Athlon นั้นเป็นรุ่นแรกที่ AMD สามารถผลิตให้มีความเร็วและประสิทธิภาพเหนือกว่า Intel
คำถาม
ตอบ.Intel และ AMD
2.CPU มีกี่แบบอะไรบ้าง
ตอบมี2แบบคือ1.ซีพียู แบบ Cartridge ซีพียูแบบนี้รูปร่างเป็นตลับแบนๆ
2.ซีพียู แบบ PGA ซีพียูแบบนี้รูปร่างเป็นชิปแบนๆ
3.CPUหมายถึงอะไร
ตอบ.หน่วยประมวลผลกลาง
ที่มา : http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=143
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
รักการอ่าน...เน็ตด้วย Nokia 6210 กับซิม 3G ของ i-mobile3gx
ตั้งค่าต่อเน็ตด้วย Nokia 6210 กับซิม 3G ของ i-mobile3gx
หลักการคือ1.ตั้งค่าในมือถือเราให้เรียบร้อย
2.ตั้งค่าโมเด็ม หรือจะใช้ Nokia PC Suite ช่วยก็ได้
การตั้งค่าในมือถือ Nokia 6210 3g ซิม i-mobile3gx
ถ้าใช้เมนูภาษาไทย
ใช้เข้าไปตามนี้
เมนูตั้งค่า > ตั้งค่า > การเชื่อมต่อ > จุดเชื่อมต่อ > ตัวเลือก จุดเชื่อมต่อใหม่
ชื่อการเชื่อมต่อ : อะไรก็ได้ ตั้งเป็น 3G ก็ได้
บริการเสริม : ข้อมูลแบบแพคเก็ต
ชื่อจุดเชื่อมต่อ : internet
การตั้งค่าโมเด็มใน Nokia PC Suite
1. เสียสาย USB เข้ากับ NoteBook
2. เปิดโปรแกรม Nokia PC Suite ขึ้นมา (ถ้ายังไม่มีก็ติดตั้งลงไปครับมันจะแถมมาตอนที่ซื้อเครื่องมา)
3. เมื่อ NoteBook กับ มือถือของเราเชื่อมกันได้แล้ว ให้เข้าไปที่ โปรแกรม Nokia PC Suite คลิกที่ เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ตามรูป
4. จะได้หน้าจอ One Touch Access ให้คลิกที่ กำหนดค่า
รูป
5. เลือกโมเด็มเป็น: Nokia 6120 classic USB Modem หรือรุ่นอื่นๆ ของท่าน คลิกถัดไป
รูป
ุ6. คลิกเลือกผู้ให้บริการเครือข่ายจากรายการ เป็น AIS MoblieLIFE Thailand
คลิก เสร็จ แล้วลองกดเชื่อมต่อดูครับ
คำถาม
1.เป็นการตั้งค่าของโทรศัพรุ่นใดล
ตอบ.Nokia 6210
2.เราต้องเลือกโมเดมรุ่นใด
ตอบ.Nokia 6120 classic USB Modem
3.เราต้องเปิดโปรอกรมอะไรเพื่อต่ออินเตอร์เน็ต
ตอบ.Nokia PC Suite
ที่มา : http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=155
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./5
รักการอ่าน...วิธีทำ hiren usb boot ทำ USB ให้บูทได้
วิธีทำ hiren usb boot ทำ USB ให้บูทได้
วิธีทำ hiren boot usb
เตรียมข้อมูล
1. โหลด hiren เวอร์ชั่นล่าสุดจาก
http://www.hirensbootcd.net/download.html
2. โหลด USB Booting
http://www.hirensbootcd.net/usb-booting.html
วิธีทำ เตรียม USB Storage Device พื้นที่ว่างขนาดอย่างน้อย 200MB
1. เสียบ USB เข้ากับเครื่องเรา
2. แตก zip ไฟล์ที่โหลดมาจาก ข้อ 1.
3. เปิดไฟล์ UNetbootin ที่โหลดมาจากข้อ 2. เลือก Diskimage >> ISO คลิก "..." เลือก ไฟล์ .iso ที่แตก zip ไว้
4. ช่อง Type เลือก USB drive แล้วคลิก "OK" เพื่อให้ โปรแกรมเริ่มทำงาน มันจะทำการ แปลง .iso ไฟล์ ลงไปใน USB ของเรา รอจนเสร็จ (ไม่ต้อง restart)
เท่านี้เราก็จะมี แผ่น hiren ที่อยู่ใน USB และ Boot ได้ไว้ใช้แล้วครับ
จะแก้ปัญหา เรื่อง Hardware หรือ เจอไวรัส ก็แก้ได้ด้วย hiren
คำถาม
1.เราต้องเตรียม USB Storage Device พื้นที่ว่างขนาดอย่างน้อยกี่MB
ตอบ.200MB
2.เราสามารถโหลด USB Booting ได้จากที่ไหน
ตอบ.http://www.hirensbootcd.net/download.html
3.เมื่อเราเลือก Diskimage >> ISO คลิก "..." เลือก ไฟล์ อะไร
ตอบ.iso
ที่มา : http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=154
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
วิธีทำ hiren boot usb
เตรียมข้อมูล
1. โหลด hiren เวอร์ชั่นล่าสุดจาก
http://www.hirensbootcd.net/download.html
2. โหลด USB Booting
http://www.hirensbootcd.net/usb-booting.html
วิธีทำ เตรียม USB Storage Device พื้นที่ว่างขนาดอย่างน้อย 200MB
1. เสียบ USB เข้ากับเครื่องเรา
2. แตก zip ไฟล์ที่โหลดมาจาก ข้อ 1.
3. เปิดไฟล์ UNetbootin ที่โหลดมาจากข้อ 2. เลือก Diskimage >> ISO คลิก "..." เลือก ไฟล์ .iso ที่แตก zip ไว้
4. ช่อง Type เลือก USB drive แล้วคลิก "OK" เพื่อให้ โปรแกรมเริ่มทำงาน มันจะทำการ แปลง .iso ไฟล์ ลงไปใน USB ของเรา รอจนเสร็จ (ไม่ต้อง restart)
เท่านี้เราก็จะมี แผ่น hiren ที่อยู่ใน USB และ Boot ได้ไว้ใช้แล้วครับ
จะแก้ปัญหา เรื่อง Hardware หรือ เจอไวรัส ก็แก้ได้ด้วย hiren
คำถาม
1.เราต้องเตรียม USB Storage Device พื้นที่ว่างขนาดอย่างน้อยกี่MB
ตอบ.200MB
2.เราสามารถโหลด USB Booting ได้จากที่ไหน
ตอบ.http://www.hirensbootcd.net/download.html
3.เมื่อเราเลือก Diskimage >> ISO คลิก "..." เลือก ไฟล์ อะไร
ตอบ.iso
ที่มา : http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=154
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
รักการอ่าน...RSSคืออะไร
RSS คืออะไร
RSS หรือ Really Simple Syndication คือรูปแบบไฟล์ของภาษา XML ใช้สำหรับการแบ่งปันหัวเรื่อง ข้อมูลบนเว็บระหว่างเว็บด้วยกัน หรือสำหรับดึงข่าวจากเว็บต่างๆ มาแสดงบนเว็บของคุณ ซึ่งแต่ก่อน อาจมีการสร้างหัวเรื่องของข่าวจากเว็บต้นแบบ จากนั้นนำลิงค์ไปติดที่หน้าเว็บของเรา การแก้ไขถ้าเว็บต้นแบบแก้ไข เว็บของเราจะต้องทำการแก้ไขตามด้วย นอก จากนี้สำหรับนักท่องเน็ตทั่วไป สามารถนำประโยชน์ของ RSS นี้ไปใช้งานได้ โดยไม่จำเป็นต้อง เข้าไปในเว็บไซต์นั้นบ่อยๆ (ทั้งนี้เนื่องจากหลายๆ เว็บอาจมีการ udpate ข้อมูลที่ไม่พร้อมกัน) โดยสามารถติดตั้งโปรแกรม RSS Reader ใช้สำหรับดึงหัอข้อข่าวสารที่มีบริการ RSS มาไว้ในเครื่องของเรา และถ้ามีการ udpate จากเว็บนั้นๆ เราก็สามารถคลิกลิงค์ ไปยังเว็บที่ให้บริการได้โดยตรง ทำให้ย่นเวลาในการเข้าไปดูเว็บต่างๆ มากมาย |
รู้ได้อย่างไรว่าเว็บไหนมีบริการ RSS สังเกตได้จากสัญลักษณ์ที่มีเครื่องหมาย MXL หรือ RSS ส่วนใหญ่มักอยู่บริเวณเมนูหลักของเว็บ หรือบริเวณส่วนล่างของหน้าเว็บเพจ |
คำถาม
1.RSSย่อมาจากอะไร
ตอบ.Really Simple Syndication
2.RSSมีสัญลักษณ์กี่ชนืด
ตอบ.2ชนิด
3.RSSมีสัญลักษณ์ที่มีเครื่องหมายอะไร
ตอบ.XMLและRSS
ที่มา : http://www.mindphp.com/modules.php?name=News&file=article&sid=150
ผู้อ่าน : นายธนากร หุ้นเหี้ยง ชั้น ม.5/2 เลขที่ 3
วันที่อ่าน : 28/ก.พ./54
วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ข้อควรระวังในการเล่น facebook
1. ใช้รหัสผ่านแบบง่าย ๆ
หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อธรรมดา หรือคำทั่วไปที่สามารถหาพบได้ในพจนานุกรม หรือแม้แต่ตัวเลขที่ลงท้ายรหัสผ่านดังกล่าว ควรใช้การผสมระหว่าง ด้านหน้า ด้านหลังตัวอักษร ด้วยตัวเลข หรือสัญลักษณ์ รหัสผ่านควรมีแปดตัวอักษรอย่างน้อย เทคนิคที่ดีอย่างหนึ่งคือ
การเพิ่มตัวเลขหรือสัญญลักษณ์ระหว่างกลางคำผ่าน
2. ระบุวันเดือนปีเกิดในข้อมูลสาธารณะ
โจรภัยทางข้อมูลแบบเบื้องต้น ผู้ไม่หวังดีมักจะใช้ในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวคุณ เพราะมันจะมีประโยชน์อย่างมากในการเข้าถึงข้อมูลธนาคารหรือบัตรเครดิต ถ้าคุณได้ระบุวันเกิด ให้กลับไปที่ข้อมูลส่วนตัว เข้าไปแก้ไขข้อมูลส่วนตัว ระบุข้อมูลพื้นฐานคือ ไม่แสดงวันเกิดในข้อมูลส่วนตัว หรือ แสดงเฉพาะวันและเดือนเกิดในหน้าข้อมูลส่วนตัว
( การติดต่อสอบถามเกี่ยวกับบัตรเครดิต มักจะต้องตอบข้อมูลเรื่องนี้ด้วย)
3. ตรวจสอบการใช้งานของข้อมูลส่วนตัว
ข้อมูลทั้งหมดใน Facebook คุณควรกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงของเพื่อน หรือเพื่อนของเพี่อน หรือตัวคุณเอง เช่น การเข้าชมรูปภาพ วันเกิด ศาสนา และข้อมูลของครอบครัว หรือสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณเอง เช่น ข้อมูลในการติดต่อ เบอร์โทรศัพท์ สถานที่อยู่
ควรจำกัดสิทธิ์เฉพาะบุคคลหรือกลุ่มที่สามารถจะเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว หรือจัดการบล็อก(ห้าม)บุคคลบางคน หรือไม่ให้บุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว
4. ระบุชื่อบุตรหลาน โดยมีข้อความที่อธิบายหรือตำบรรยายใต้ภาพประกอบ
ใม่ควรระบุชื่อบุตรหลานหรือป้ายกำกับ( tags) หรือ มีคำอธิบาย/บรรยายรายละเอียดใต้ภาพ และถ้าได้มีคนอื่นหรือเพื่อนคุณทำเช่นว่านั้น
ก็ขอให้ช่วยแก้ไขหรือลบออกพร้อมกับป้ายกำกับด้วย แต่ถ้าชื่อบุตรหลานของคุณไม่ได้อยู่ใน Facebook แต่ได้มีบางคนได้ระบุข้อมูลดังกล่าวไว้ใน ป้ายกำกับ( tags) หรือ หรือมีคำอธิบายหรือบรรยายรายละเอียดใต้ภาพ ก็ขอให้เจ้าของข้อมูลดังกล่าวแก้ไข/ลบออกด้วย
( เป็นช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีใช้ข้อมูลดังกล่าว ในการก่ออาชญากรรมบางเรื่องได้ง่าย เพราะรู้ว่าเป็นลูกหลานของใครมีฐานะการเงินเป็นเช่นไร)
5. การบอกว่า กำลังออกจากบ้าน
เป็นนัยที่สื่อความหมายว่า ไม่มีใครอยู่ในบ้าน หรือคล้ายเป็นการปิดป้ายว่า “ ไม่อยู่ ” ไว้ที่หน้าบ้านเช่นกัน ให้รอจนคุณกลับถึงบ้านแล้วค่อยบอกถึงการผจญภัยหรือความสนุกสนาน ในการเดินทางหรือการใช้วันหยุดพักผ่อน โดยอาจจะไม่ต้องระบุ วันเดือนปีที่เดินทางก็ได้ หรือระบุวันเดือนปีที่เดินทางให้คลุมเครือไม่ชัดเจน
6. การปล่อยให้ Facebook ค้นหา พบคุณ
เพื่อป้องกันคนแปลกหน้าเข้าถึงหน้าข้อมูลของคุณ ให้ไปที่การค้นหาของ Facebook ข้อมูลส่วนตัว และเลือกเฉพาะเพื่อนเท่านั้นของ Facebook ที่จะค้นพบข้อมูลดังกล่าว และให้มั่นใจว่ากล่องข้อมูลสาธารณะไม่ได้ระบุให้เข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้
7. อย่าให้เด็กใช้ Facebook โดยไม่ตรวจสอบควบคุม
แม้ว่า Facebook จะไม่อนุญาตให้เด็ก อายุต่ำกว่าสิบสามขวบหรือยังไม่ถึงเกณฑ์ใช้งาน แต่หลายคนก็ทำการปลอมอายุเข้าไปใช้ได้
ถ้าคุณมีเด็กหรือวัยรุ่นในความปกครองใช้ Facebook วิธีการที่ดีที่สุดในการตรวจสอบและควบคุม คือ การเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่มเพี่อนของเขา หรือให้ใช้ email ของคุณแทนในการติดต่อระหว่างบัญชีของเขา เพื่อที่คุณจะได้รับข้อความหรือตรวจสอบการใช้งานของเขา
“ เพราะสิ่งที่พวกเขาคิดว่าไม่เป็นไร ไม่มีอะไร กลับกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างง่ายดาย ”
ยกตัวอย่างเช่น มีเด็กคนหนึ่งมักจะบอกว่า " แม่กำลังจะกลับบ้านแล้ว ฉันต้องไปล้างจาน" มักจะบอกทุก ๆ วัน ในเวลาเดิมเสมอ
มันเป็นการบอกเวลาที่ชัดเจนมาก เกี่ยวกับการเดินทางไปกลับของพ่อแม่
( บอกช่วงเวลาที่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ที่บ้าน คนร้ายอาจกะระยะเวลาก่อกรรมทำชั่วได้ง่ายขึ้น)
หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อธรรมดา หรือคำทั่วไปที่สามารถหาพบได้ในพจนานุกรม หรือแม้แต่ตัวเลขที่ลงท้ายรหัสผ่านดังกล่าว ควรใช้การผสมระหว่าง ด้านหน้า ด้านหลังตัวอักษร ด้วยตัวเลข หรือสัญลักษณ์ รหัสผ่านควรมีแปดตัวอักษรอย่างน้อย เทคนิคที่ดีอย่างหนึ่งคือ
การเพิ่มตัวเลขหรือสัญญลักษณ์ระหว่างกลางคำผ่าน
2. ระบุวันเดือนปีเกิดในข้อมูลสาธารณะ
โจรภัยทางข้อมูลแบบเบื้องต้น ผู้ไม่หวังดีมักจะใช้ในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวคุณ เพราะมันจะมีประโยชน์อย่างมากในการเข้าถึงข้อมูลธนาคารหรือบัตรเครดิต ถ้าคุณได้ระบุวันเกิด ให้กลับไปที่ข้อมูลส่วนตัว เข้าไปแก้ไขข้อมูลส่วนตัว ระบุข้อมูลพื้นฐานคือ ไม่แสดงวันเกิดในข้อมูลส่วนตัว หรือ แสดงเฉพาะวันและเดือนเกิดในหน้าข้อมูลส่วนตัว
( การติดต่อสอบถามเกี่ยวกับบัตรเครดิต มักจะต้องตอบข้อมูลเรื่องนี้ด้วย)
3. ตรวจสอบการใช้งานของข้อมูลส่วนตัว
ข้อมูลทั้งหมดใน Facebook คุณควรกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงของเพื่อน หรือเพื่อนของเพี่อน หรือตัวคุณเอง เช่น การเข้าชมรูปภาพ วันเกิด ศาสนา และข้อมูลของครอบครัว หรือสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณเอง เช่น ข้อมูลในการติดต่อ เบอร์โทรศัพท์ สถานที่อยู่
ควรจำกัดสิทธิ์เฉพาะบุคคลหรือกลุ่มที่สามารถจะเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว หรือจัดการบล็อก(ห้าม)บุคคลบางคน หรือไม่ให้บุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว
4. ระบุชื่อบุตรหลาน โดยมีข้อความที่อธิบายหรือตำบรรยายใต้ภาพประกอบ
ใม่ควรระบุชื่อบุตรหลานหรือป้ายกำกับ( tags) หรือ มีคำอธิบาย/บรรยายรายละเอียดใต้ภาพ และถ้าได้มีคนอื่นหรือเพื่อนคุณทำเช่นว่านั้น
ก็ขอให้ช่วยแก้ไขหรือลบออกพร้อมกับป้ายกำกับด้วย แต่ถ้าชื่อบุตรหลานของคุณไม่ได้อยู่ใน Facebook แต่ได้มีบางคนได้ระบุข้อมูลดังกล่าวไว้ใน ป้ายกำกับ( tags) หรือ หรือมีคำอธิบายหรือบรรยายรายละเอียดใต้ภาพ ก็ขอให้เจ้าของข้อมูลดังกล่าวแก้ไข/ลบออกด้วย
( เป็นช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีใช้ข้อมูลดังกล่าว ในการก่ออาชญากรรมบางเรื่องได้ง่าย เพราะรู้ว่าเป็นลูกหลานของใครมีฐานะการเงินเป็นเช่นไร)
5. การบอกว่า กำลังออกจากบ้าน
เป็นนัยที่สื่อความหมายว่า ไม่มีใครอยู่ในบ้าน หรือคล้ายเป็นการปิดป้ายว่า “ ไม่อยู่ ” ไว้ที่หน้าบ้านเช่นกัน ให้รอจนคุณกลับถึงบ้านแล้วค่อยบอกถึงการผจญภัยหรือความสนุกสนาน ในการเดินทางหรือการใช้วันหยุดพักผ่อน โดยอาจจะไม่ต้องระบุ วันเดือนปีที่เดินทางก็ได้ หรือระบุวันเดือนปีที่เดินทางให้คลุมเครือไม่ชัดเจน
6. การปล่อยให้ Facebook ค้นหา พบคุณ
เพื่อป้องกันคนแปลกหน้าเข้าถึงหน้าข้อมูลของคุณ ให้ไปที่การค้นหาของ Facebook ข้อมูลส่วนตัว และเลือกเฉพาะเพื่อนเท่านั้นของ Facebook ที่จะค้นพบข้อมูลดังกล่าว และให้มั่นใจว่ากล่องข้อมูลสาธารณะไม่ได้ระบุให้เข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้
7. อย่าให้เด็กใช้ Facebook โดยไม่ตรวจสอบควบคุม
แม้ว่า Facebook จะไม่อนุญาตให้เด็ก อายุต่ำกว่าสิบสามขวบหรือยังไม่ถึงเกณฑ์ใช้งาน แต่หลายคนก็ทำการปลอมอายุเข้าไปใช้ได้
ถ้าคุณมีเด็กหรือวัยรุ่นในความปกครองใช้ Facebook วิธีการที่ดีที่สุดในการตรวจสอบและควบคุม คือ การเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่มเพี่อนของเขา หรือให้ใช้ email ของคุณแทนในการติดต่อระหว่างบัญชีของเขา เพื่อที่คุณจะได้รับข้อความหรือตรวจสอบการใช้งานของเขา
“ เพราะสิ่งที่พวกเขาคิดว่าไม่เป็นไร ไม่มีอะไร กลับกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างง่ายดาย ”
ยกตัวอย่างเช่น มีเด็กคนหนึ่งมักจะบอกว่า " แม่กำลังจะกลับบ้านแล้ว ฉันต้องไปล้างจาน" มักจะบอกทุก ๆ วัน ในเวลาเดิมเสมอ
มันเป็นการบอกเวลาที่ชัดเจนมาก เกี่ยวกับการเดินทางไปกลับของพ่อแม่
( บอกช่วงเวลาที่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ที่บ้าน คนร้ายอาจกะระยะเวลาก่อกรรมทำชั่วได้ง่ายขึ้น)
อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1875465#ixzz1DLYXqSOP
จริยธรรมและความปลอดภัยในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต
เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นจริยธรรมที่เกี่ยวกับระบบสารสนเทศที่จำเป็นต้องพิจารณา รวมทั้งเรื่องความปลอดภัย ของระบบสารสนเทศการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หากไม่มีกรอบจริยธรรมกำกับไว้แล้ว สังคมย่อมจะเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาไม่สิ้นสุด รวมทั้งปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ด้วย ดังนั้นหน่วยงานที่ใช้ระบบสารสนเทศจึงจำเป็นต้องสร้างระบบความปลอดภัยเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
ประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรม
คำจำกัดความของจริยธรรมมีอยู่มากมาย เช่น “หลักของศีลธรรมในแต่ละวิชาชีพเฉพาะ”
“มาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติในวิชาชีพที่ได้รับ” “ข้อตกลงกันในหมู่ประชาชนในการกระทำสิ่งที่ถูก และหลีกเลี่ยงการกระทำสิ่งที่ผิด” หรืออาจสรุปได้ว่า จริยธรรม (Ethics) หมายถึง หลักของความถูกและความผิดที่บุคคลใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ
กรอบความคิดเรื่องจริยธรรม
หลักปรัชญาเกี่ยวกับจริยธรรม มีดังนี้ (Laudon & Laudon, 1999)
R.O. Mason และคณะ ได้จำแนกประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศเป็น 4 ประเภทคือ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ความเป็นเจ้าของ (Property) และความสามารถในการเข้าถึงได้ (Accessibility) (O’Brien, 1999: 675; Turban, et al., 2001: 512)
1) ประเด็นความเป็นส่วนตัว (Privacy) คือ การเก็บรวบรวม การเก็บรักษา และการเผยแพร่ ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับปัจเจกบุคคล
2) ประเด็นความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ได้แก่ ความถูกต้องแม่นยำของการเก็บรวบรวมและวิธีการปฏิบัติกับข้อมูลสารสนเทศ
3) ประเด็นของความเป็นเจ้าของ (Property) คือ กรรมสิทธิ์และมูลค่าของข้อมูลสารสนเทศ (ทรัพย์สินทางปัญญา)
4) ประเด็นของความเข้าถึงได้ (Accessibility) คือ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้และการจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ
การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว (Privacy)
ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยปัจเจกชน หรือนิติบุคคล ซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์ กฎหมายความลับทางการค้า และกฎหมายสิทธิบัตร
ลิขสิทธิ์ (copyright) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หมายถึง สิทธิ์แต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ซึ่งเป็นสิทธิ์ในการป้องกันการคัดลอกหรือทำซ้ำในงานเขียน งานศิลป์ หรืองานด้านศิลปะอื่น ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวลิขสิทธิ์ทั่วไป มีอายุห้าสิบปีนับแต่งานได้สร้างสรรค์ขึ้น หรือนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีอายุเพียง 28 ปี
สิทธิบัตร (patent) ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 หมายถึง หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุยี่สิบปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตร ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะคุ้มครองเพียง 17 ปี
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Crime)
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์อาศัยความรู้ในการใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น โดยสามารถทำให้เกิดความเสียหายด้านทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลมากกว่าการปล้นธนาคารเสียอีก นอกจากนี้อาชญากรรมประเภทนี้ยากที่จะป้องกัน และบางครั้งผู้ได้รับความเสียหายอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเครื่องประกอบอาชญากรรม
การควบคุมระบบสารสนเทศ (Information System Controls)
ประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรม
คำจำกัดความของจริยธรรมมีอยู่มากมาย เช่น “หลักของศีลธรรมในแต่ละวิชาชีพเฉพาะ”
“มาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติในวิชาชีพที่ได้รับ” “ข้อตกลงกันในหมู่ประชาชนในการกระทำสิ่งที่ถูก และหลีกเลี่ยงการกระทำสิ่งที่ผิด” หรืออาจสรุปได้ว่า จริยธรรม (Ethics) หมายถึง หลักของความถูกและความผิดที่บุคคลใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ
กรอบความคิดเรื่องจริยธรรม
หลักปรัชญาเกี่ยวกับจริยธรรม มีดังนี้ (Laudon & Laudon, 1999)
R.O. Mason และคณะ ได้จำแนกประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศเป็น 4 ประเภทคือ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ความเป็นเจ้าของ (Property) และความสามารถในการเข้าถึงได้ (Accessibility) (O’Brien, 1999: 675; Turban, et al., 2001: 512)
1) ประเด็นความเป็นส่วนตัว (Privacy) คือ การเก็บรวบรวม การเก็บรักษา และการเผยแพร่ ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับปัจเจกบุคคล
2) ประเด็นความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ได้แก่ ความถูกต้องแม่นยำของการเก็บรวบรวมและวิธีการปฏิบัติกับข้อมูลสารสนเทศ
3) ประเด็นของความเป็นเจ้าของ (Property) คือ กรรมสิทธิ์และมูลค่าของข้อมูลสารสนเทศ (ทรัพย์สินทางปัญญา)
4) ประเด็นของความเข้าถึงได้ (Accessibility) คือ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้และการจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ
การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว (Privacy)
- ความเป็นส่วนตัวของบุคคลต้องได้ดุลกับความต้องการของสังคม
- สิทธิของสาธารณชนอยู่เหนือสิทธิความเป็นส่วนตัวของปัจเจกชน
ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยปัจเจกชน หรือนิติบุคคล ซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์ กฎหมายความลับทางการค้า และกฎหมายสิทธิบัตร
ลิขสิทธิ์ (copyright) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หมายถึง สิทธิ์แต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ซึ่งเป็นสิทธิ์ในการป้องกันการคัดลอกหรือทำซ้ำในงานเขียน งานศิลป์ หรืองานด้านศิลปะอื่น ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวลิขสิทธิ์ทั่วไป มีอายุห้าสิบปีนับแต่งานได้สร้างสรรค์ขึ้น หรือนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีอายุเพียง 28 ปี
สิทธิบัตร (patent) ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 หมายถึง หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุยี่สิบปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตร ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะคุ้มครองเพียง 17 ปี
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Crime)
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์อาศัยความรู้ในการใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น โดยสามารถทำให้เกิดความเสียหายด้านทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลมากกว่าการปล้นธนาคารเสียอีก นอกจากนี้อาชญากรรมประเภทนี้ยากที่จะป้องกัน และบางครั้งผู้ได้รับความเสียหายอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเครื่องประกอบอาชญากรรม
- เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเป้าหมายของอาชญากรรม
- การเข้าถึงและการใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ถูกกฎหมาย
- การเปลี่ยนแปลงและการทำลายข้อมูล
- การขโมยข้อมูลข่าวสารและเครื่องมือ
- การสแกมทางคอมพิวเตอร์ (computer-related scams)
การควบคุมระบบสารสนเทศ (Information System Controls)
- การควบคุมอินพุท
- การควบคุมการประมวลผล
- การควบฮาร์ดแวร์ (Hardware Controls)
- การควบคุมซอฟท์แวร์ (Software Controls)
- การควบคุมเอาท์พุท (Output Controls)
- การควบคุมความจำสำรอง (Storage Controls)
- การมีการทำงานที่เป็นมาตรฐาน และมีคู่มือ
- การอนุมัติเพื่อพัฒนาระบบ
- แผนการป้องกันการเสียหาย
- ระบบการตรวจสอบระบบสารสนเทศ (Auditing Information Systems)
- ความปลอดภัยทางเครือข่าย (Network Security)
- การแปลงรหัส (Encryption)
- กำแพงไฟ (Fire Walls)
- การป้องกันทางกายภาพ (Physical Protection Controls)
- การควบคุมด้านชีวภาพ (Biometric Control)
- การควบคุมความล้มเหลวของระบบ (Computer Failure Controls)
Search Engine คืออะไร
เสิร์ชเอนจิน (search engine) คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย. เสิร์ชเอนจินส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจินบางตัว เช่น กูเกิล จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อ ๆ ไป
สัดส่วนของผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลจาก นิตยสารฟอรบส์ ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2548)
1. กูเกิล (Google) 36.9%
2. ยาฮูเสิร์ช (Yahoo! Search) 30.4%
3. เอ็มเอสเอ็นเสิร์ช (MSN Search) 15.7%
นอกจากด้านบน เว็บอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมได้แก่
- เอโอแอล (AOL Search)
- อาส์ก (Ask)
- เอ 9 (A9)
- ไป่ตู้ (Baidu, 百度) เสิร์ชเอนจิน อันดับ 1 ของประเทศจีน
ที่มา :http://th.wikipedia.org
สัดส่วนของผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลจาก นิตยสารฟอรบส์ ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2548)
1. กูเกิล (Google) 36.9%
2. ยาฮูเสิร์ช (Yahoo! Search) 30.4%
3. เอ็มเอสเอ็นเสิร์ช (MSN Search) 15.7%
นอกจากด้านบน เว็บอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมได้แก่
- เอโอแอล (AOL Search)
- อาส์ก (Ask)
- เอ 9 (A9)
- ไป่ตู้ (Baidu, 百度) เสิร์ชเอนจิน อันดับ 1 ของประเทศจีน
ที่มา :http://th.wikipedia.org
Web browser คืออะไร ?
เว็บเบราว์เซอร์ (web browser) เบราว์เซอร์ หรือ โปรแกรมดูเว็บ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (html) ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ
ประโยชน์ของ Web Browser
สามารถดูเอกสารภายในเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้ อย่างสวยงามมีการแสดงข้อมูลในรูปของ ข้อความ ภาพ และระบบมัลติมีเดียต่างๆ ทำให้การดูเอกสารบนเว็บมีความน่าสนใจมากขึ้น ส่งผลให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นในปัจจุบัน ปัจจุบัน web browser ส่วนใหญ่จะรองรับ html 5 และ อ่าน css เพื่อความสวยงามของหน้า web page
รายชื่อเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
สามารถดูเอกสารภายในเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้ อย่างสวยงามมีการแสดงข้อมูลในรูปของ ข้อความ ภาพ และระบบมัลติมีเดียต่างๆ ทำให้การดูเอกสารบนเว็บมีความน่าสนใจมากขึ้น ส่งผลให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นในปัจจุบัน ปัจจุบัน web browser ส่วนใหญ่จะรองรับ html 5 และ อ่าน css เพื่อความสวยงามของหน้า web page
รายชื่อเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
- Internet Explorer
- Mozilla Firefox
- Google Chrome
- Safari
Social Network คืออะไร?
Social Network คือ สังคมออนไลน์ที่จะช่วยให้คุณหาเพื่อนบนโลกอินเตอร์เนทได้ง่ายๆ เราสามารถที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมา เพื่อแนะนำตัวเองได้ เช่น
- Hi5
- Friendster
- My Space
- Face Book
- Orkut
- Bebo
- Tagged
เว็บ SNS (Social Network Site) เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเว็บที่สร้างขึ้นมาเพื่อการตอบสนองความต้องการในการติดต่อธุรกิจหรือหาเพื่อนบนโลกไซเบอร์ทั้งสิ้น
Hi5 www.hi5.com
Hi5 www.hi5.com
เว็บ Hi5 เป็นเว็บที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย ที่มีผู้ใช้บริการกว่า 7 แสนคน
สำหรับหลายคนที่รู้จักและใช้บริการอยู่คงจะไม่ต้องอธิบายกันมาก เพราะคงรู้จุดประสงค์และการใช้งานดีอยู่แล้ว แต่หลายๆคนยังไม่ทราบว่าเจ้า hi5 นี่ใช้งานยังไง มีทำไม และเพื่อประโยชน์อะไร
Hi5.com เป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้บริการมาฝาก profile ของตัวเอง คล้ายๆกับ blog เนี่ยแหละ แต่ว่าคนไม่ค่อยไปเขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราวในนั้นซะเท่าไหร่ จะเน้นที่ตกแต่งหน้าตา profile เราให้สวยงาม ดึงดูดคนมาเข้า แต่จุดเด่นของมันอยู่ที่ ระบบ network ที่เรามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ หรือบังเอิญเจอเพื่อนเก่าสมัยมัธยมเมื่อหลายสิบปีก่อน หรือเพื่อนของเพื่อน กิ้กเก่า แฟนเก่า .. แต่อีกหลายคนก็สมัครไปงั้นๆไม่ได้อะไรมากเพราะได้รับอีเมลชวนมาเล่น hi5 จากเพื่อน ...
Hi5.com เป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้บริการมาฝาก profile ของตัวเอง คล้ายๆกับ blog เนี่ยแหละ แต่ว่าคนไม่ค่อยไปเขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราวในนั้นซะเท่าไหร่ จะเน้นที่ตกแต่งหน้าตา profile เราให้สวยงาม ดึงดูดคนมาเข้า แต่จุดเด่นของมันอยู่ที่ ระบบ network ที่เรามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ หรือบังเอิญเจอเพื่อนเก่าสมัยมัธยมเมื่อหลายสิบปีก่อน หรือเพื่อนของเพื่อน กิ้กเก่า แฟนเก่า .. แต่อีกหลายคนก็สมัครไปงั้นๆไม่ได้อะไรมากเพราะได้รับอีเมลชวนมาเล่น hi5 จากเพื่อน ...
ข้อดี1. มีโอกาสได้เพื่อนใหม่ๆและ keep connect กับเพื่อนเก่าๆ ที่บางคนอาจจะเลือนหายไปกับความทรงจำ (แต่พอส่ง msg คุยกันก็ไม่รู้จะคุยไร เพราะมันห่างกันมานาน)
2. การเก็บรักษาความส่วนตัว ก็ใช้ได้ระดับหนึ่ง คือ ยังไงๆถ้าเราไม่บอก ไม่ว่าใครก็ไม่รู้อีเมลเรา แต่ถ้าอยากให้รู้ก็เขียนบอกไปเลยก็ได้ หรืออยากรู้ msn ใครก็แมสเสจไปหาเขาตรงๆ
3. วิธีการสมัครง่าย และวิธีการทำ hi5 ให้สวยงามก็ง่าย
4. ข้อดีก็เหมือน blog ทั่วไปๆแหละเพียงแต่คนเล่นนิยม เพราะมันดูทันสมัยและใช้งานง่าย
ข้อเสีย1. มีการพัฒนาเวบ อาจจะล่มบางครั้ง
2. ใส่ลูกเล่นหรือปรับแต่งอะไรได้ไม่ค่อยเยอะ มันจะมี pattern อยู่แล้ว ก็จะปรับได้ส่วนของแบคกราวน์ สี font ตัวอักษร ใส่เพลง vdoclip ....
3. ไม่มีประโยชน์เท่าบล้อก เพราะคนเข้ามาดูรูปส่วนใหญ่
ที่มา : http://lastberry.myfri3nd.com/blog/2008/04/05/entry-1
2. การเก็บรักษาความส่วนตัว ก็ใช้ได้ระดับหนึ่ง คือ ยังไงๆถ้าเราไม่บอก ไม่ว่าใครก็ไม่รู้อีเมลเรา แต่ถ้าอยากให้รู้ก็เขียนบอกไปเลยก็ได้ หรืออยากรู้ msn ใครก็แมสเสจไปหาเขาตรงๆ
3. วิธีการสมัครง่าย และวิธีการทำ hi5 ให้สวยงามก็ง่าย
4. ข้อดีก็เหมือน blog ทั่วไปๆแหละเพียงแต่คนเล่นนิยม เพราะมันดูทันสมัยและใช้งานง่าย
ข้อเสีย1. มีการพัฒนาเวบ อาจจะล่มบางครั้ง
2. ใส่ลูกเล่นหรือปรับแต่งอะไรได้ไม่ค่อยเยอะ มันจะมี pattern อยู่แล้ว ก็จะปรับได้ส่วนของแบคกราวน์ สี font ตัวอักษร ใส่เพลง vdoclip ....
3. ไม่มีประโยชน์เท่าบล้อก เพราะคนเข้ามาดูรูปส่วนใหญ่
ที่มา : http://lastberry.myfri3nd.com/blog/2008/04/05/entry-1
ความหมายของ weblog
บล็อก (Blog or Weblog) คืออะไร?
บล็อก (Blog) หรือ เว็บบล็อก (Weblog) เป็นเว็บไซต์สำหรับเขียนบันทึกเล่าเรื่องราวประจำวันเพื่อสื่อสารความรู้สึกนึกคิด มุมมอง ประสบการณ์ ความรู้ และข่าวสาร ในเรื่องที่ผู้เขียนท่านหนึ่งๆ (Blogger) สนใจโดยเฉพาะ ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้บล็อกต่างกับเว็บบอร์ด และเนื่องจากความจริงใจและอิสระทางความคิดที่สื่อสารออกไป ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน ลักษณะของบุคคลที่หนึ่ง เป็นการบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของผู้เขียนได้เป็นอย่างดีทีเดียว จึงทำให้บล็อคเป็นสื่อที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในนานาประเทศ
ลักษณะของเว็บไซต์ที่เป็นบล็อก สังเกตได้ง่ายๆ จากลักษณะต่างๆ ดังนี้คือ
บล็อกแต่ละบล็อกจะมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น บล็อกที่เกี่ยวกับการจัดการความรู้ บล็อกด้านการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย บล็อกด้านการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ส เป็นต้น การสร้างจุดยืนของบล็อกเช่นนี้ และมีการเขียนที่เป็นประจำสม่ำเสมอ จะทำให้บล็อกเป็นที่น่าสนใจติดตามจากผู้อ่านมากมาย
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนแต่ละคนอาจจะมีความรู้ความถนัดในหลากหลายด้าน การจะนำความรู้ทั้งหมดมาเขียนในบล็อกเดียวอาจทำให้การแยกแยะความรู้เป็นไปด้วยความลำบาก ทำให้หาแก่นความรู้ได้ยาก และสำหรับผู้อ่านแล้วก็อาจจะยากในการติดตามอ่าน ดังนั้น สำหรับผู้เขียนหนึ่งคน ความสามารถของระบบในการสร้างบล็อกได้มากกว่าหนึ่งบล็อก เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ทีแตกต่างกัน น่าจะเป็นฟังก์ชันการทำงานที่น่าสนใจ ซึ่ง GotoKnow.org เสนอจุดเด่นในเรื่อง Multi- blog นี้อย่างชัดเจน
ที่มาจาก : http://gotoknow.org/blog/tutorial/3
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)